เสาร์ 23 สิงหาคม 2551
คืนที่ผ่านมาพี่นั่มมาค้างด้วยแต่รีบกลับไปแต่เช้าเพื่อไปดูแลสอง และดูแลปลา พี่นุ่มไปทำกิจกรรมที่ทำงาน หนึมอยู่ดูแลแม่
เมื่อคืนแม่นอนได้น้อยเพราะเจ็บแผลใหม่ที่ใต้ไหปลาร้าด้านซ้ายมาอีกแผล ระบมจนเขยิบแขนซ้ายได้น้อยมาก แม่บ่นเพราะยกมือล้างหน้าไม่ได้ จะใส่เสื้อก็ลำบาก
มีกระเช้าผลไม้ดอกไม้จากผู้บริหารฝึกหัดทั้ง 2 รุ่นที่บริษัท ที่เคยเป็นลูกศิษย์หนึมส่งมาตอนสายๆ
วันนี้แม่ให้หนึมแกะกระเช้าผลไม้ทั้งหลายออกมา แบ่งผลไม้ให้คุณพยาบาลชั้น 15 หนึมถืออกไปให้คุณชมพู่ แกขอบคุณและเรียกให้เพื่อนๆทานกัน อีกถุงถือลงไปให้คุณพยาบาลที่ ccu และฝากบอกให้คุณอ้อมที่ดูแลแม่อย่างดีช่วงที่อยู่ใน ccu ด้วย
ป้าจูโทรมาเพื่อจะเตรียมตัวการกลับบ้านให้แม่เพราะนึกว่าแม่ได้กลับบ้านวันนี้ แต่ทราบจากพี่นั่มเรื่องแม่ผ่าฝังเส้นเลือดเทียม ซึ่งป้าจูรู้จักอยู่แล้วเพราะป้าเจ๊ก็เคยทำ ป้าจูน่ารักและเป็นห่วงเป็นใยแม่และพวกเราเสมอ
ฮั้วแวะมาตอนบ่ายพร้อมด้วยฝรั่ง 1 ถุงซึ่งพี่นั่มชอบมาก ลูกน้องเก่าพี่นุ่มชื่อกบและไก่มาเยี่ยมแม่ หอบกระเช้าน้ำผลไม้มาให้ด้วย
คุณหมอวิชัยมาและทำแผลให้แม่ แกจำได้ว่าแม่แพ้พลาสเตอร์ เวลาลอกมันจะดึงหนังแม่ออกไปด้วยแกเลยค่อยๆลอกพลาสเตอร์ออกเอง ไม่ให้พยาบาลทำ ตอนนี้ติดเป็นพลาสเตอร์กันน้ำแล้ว จากเดิมเป็นผ้าก๊อซและยังไม่ให้โดนน้ำ คราวนี้บอกว่าอาบน้ำได้แล้ว อาบตั้งแต่หัวลงมาก็ได้ แม่มีรอยช้ำอยู่รอบแผลมากอยู่ แม่ถามว่าจะปวดแผลไปอีกนานไหม หมอบอกว่า 2 สัปดาห์ ปวดก็ทานยาแก้ปวดไปเป็นครั้งๆ หนึมได้ดูตอนหมอทำแผลทุกครั้ง หนนี้ด้วย เส้นเลือดเทียมที่หมอฝังลงไปใต้ผิวหนังนั้นมองไม่เห็นเลย มีแต่นูนๆขึ้นมาเล็กน้อย ส่วนแผลผ่าปอดหมอบอกว่าสอยเอา ไม่มีด้ายขึ้นมาให้เห็นแผลเรียบและเนี้ยบมากๆ
วันนี้สมจิตร จงจอหอชกมวยโอลิมปิกรอบชนะเลิศกับคิวบา ชนะ 8 ต่อ 2 ถนนโล่ง คนไทยเอาใจเชียร์กันหมด ส่วนมนัส บุญจำนงค์เจอคู่ดุจากโดมินิกัน แรงสู้ไม่ไหวแพ้ไป 4 ต่อ 14 ได้เหรียญเงินแทน
อาทิตย์ 24 สิงหาคม 2551
พวกเรานอนค้างด้วยกัน 3 คนโดยพี่นั่มตื่นแต่เช้าไปดูแลสอง ก่อนออกไปซื้ออาหารสองที่จตุจักร แม่นอนได้ดีขึ้นหลับสนิทแทบทั้งคืน หยุดยาแก้ไอเม็ดแดงแต่เช้า บอกกับคุณชมพู่ เพราะแม่หายไอและเริ่มท้องผูกมากแล้ว
แม่เอา gift voucher 600.- บาท ให้คุณชมพู่ บอกแกว่าฝากเอาไป central แกเข้าใจว่าแม่จะให้แกไปซื้อของให้ซึ่งแกยินดีทำให้ แม่ต้องบอกว่าให้คุณชมพู่น่ะแหละ แกดีใจไม่กล้ารับ ต้องบอกว่าให้เพื่อขอบคุณ จึงรับไว้
ตอนเช็ดตัวเช้าแม่ให้คุณผู้ช่วยพยาบาลช่วยสวนทวาร แล้วเข้าห้องน้ำแต่ถ่ายออกมาได้นิดเดียวและปวดท้องมาก หนึมเข้าไปอยู่ด้วยเพราะแม่กลัวจะเบ่งแล้วเส้นเลือดแตก เอาผ้าเช็ดตัวคลุมหน้าตักและนั่งจับมือแม่ แม่บอกว่าปวดท้องถ่ายแต่เหมือนอุจจาระจะแข็งมาก เบ่งไม่ออก คุณพยาบาลบอกว่าถ้ายังไม่ออกจะสวนทวารตอนเช็ดตัวบ่าย
สายๆหนึมโทรหาท่านมหาฯให้แม่ได้สำเร็จ แม่บอกว่าท่านคุยกับท่านตุ๊อยู่ว่าจะมาเยี่ยมแม่ แม่บอกท่านว่าแม่ยังหัวเราะได้อยู่ และจะกลับไปใส่บาตรอีกครั้งวันที่ 1 กันยายน
เพื่อนพี่นุ่มจากโรงเรียนราชินีมาเยี่ยมและพี่นุ่มถ่ายรูปไว้ด้วย เอาตะกร้าผลไม้และน้ำผลไม้มาให้แม่
เที่ยงแม่ทานน้อยเพราะไม่สบายตัว พี่นั่มกลับจากจตุจักรไปซื้ออาหารสอง คุณผู้ช่วยพยาบาลสวนทวารอีกครั้งตอน 15.00 น แต่แม่ก็ยังถ่ายไม่ออกทรมาณมาก พี่นุ่มและหนึมช่วยกันนวดขาแม่ แม่เท้าและขาเย็นไปหมด เบ่งจนเหนื่อยอ่อนจนต้องขอให้หยุดแล้วออกมาพักก่อน หนึมถึงขนาดเอาบทพระปริตไปสวดให้แม่ในห้องน้ำด้วย และส่งกระแสจิตช่วย พี่นั่มคอยเดินหน้าห้องน้ำและถามข่าวและขอให้แม่หยุดเบ่งและออกมาพักบ้าง
ในที่สุดบอกคุณชมพู่ก็ชงยาระบายมาให้แต่พอเห็นแม่นั่งถ่ายด้วยความทรมาณ จึงเรียกคุณผู้ช่วยชุดฟ้ามาช่วยแคะออก แกเรียกว่า evac มีคุณสุภาพรรณ วงษ์น้อย เป็นคนทำให้ ใส่ถุงมือ ใช้ KY gel ทาเยอะๆที่ปลายนิ้ว ให้แม่นั่งก้มโค้งไปข้างหน้า ครู่เดียวแม่ก็ถ่ายออก แม่ขอบคุณเขามาก ให้พี่นุ่มหยิบเงิน 1,000.- บาทใส่ซองไปขอบคุณคุณสุภาพรรณ แกบอกว่าแม่มีริดสีดวงซึ่งทำให้ถ่ายออกได้ยาก
บ่ายๆพี่นุ่มกับหนึมเอา gift voucher 600.- บาทไปให้คุณอ้อมที่ห้อง ccu แต่แกไม่เข้าเวร เข้าอีกทีวันอังคารเช้า
บ่ายๆพี่นั่มช่วยหนึมใช้มือถือหนึมต่อเข้ากับ notebook ของหนึมเล่น internet ได้สำเร็จโดยใช้ account ของพี่นั่ม พี่นั่มเก่งมากและหนึมดีใจมาก จากนี้ไปไปไหนก็ใช้ net ได้ถ้ามีคลื่นมือถือ
พี่นุ่มจัดการคุยกับฝ่ายการเงินและคุยกับ AIA ได้พี่แอ๊ดช่วยโทรศัพท์ดูแลเรื่องการเคลมให้แม่ทั้งที่เป็นวันหยุด บอกว่าสามารถเคลมได้ 190,000. บาท ค่าใช้จ่าย ณ วันนี้อยู่ที่ 2 แสนกว่าบาทโดยพี่นุ่มจ่าย ณ วันเข้าโรงพยาบาลแล้ว 1 แสนบาท หนึมบอกแม่ว่า AIA ดูแลแม่ดีจริงๆและขอบคุณ AIA แม่ก็พูดแบบเดียวกัน ว่าต้องขอบคุณ AIA ที่ดูแลลูกๆมาและดูแลแม่ด้วย
คุณหมอวิชัยมาราว 16.30 น มาตรวจแล้วนัดหมอมาดูเรื่องริดสีดวงให้แม่ และนัดพบในจันทร์หน้า
แม่มาถ่ายออกเยอะๆจริงๆหลังอาหารเย็น ซึ่งแม่ทานน้อยมากเพราะยังถ่ายไม่หมดท้อง พี่นุ่มคอยดูเรื่องการหาและอุ่นอาหาร วันนี้ช่วยกันเก็บข้างของก่อนกลับบ้านพรุ่งนี้ คุณผู้ช่วย 2 คนมาช่วยเข็นของลงไปส่งถึงรถ พี่นั่มและพี่นุ่มกลับไปนอนบ้าน เพราะพรุ่งนี้พี่นุ่มมีจัดอบรมผู้บริหาร แม่ไม่อยากให้พี่นุ่มนอนที่บ้านคนเดียว หนึมหยิบใบแสดงความคิดเห็นเตรียมเขียนชมคนที่นี่ และไปจดชื่อคุณพยาบาล คุณผู้ช่วย และ เจ้าหน้าที่ ก็แทบหมดทั้งชั้นที่ดูแลแม่อย่างดีและอยากเขียนชมเชยขอบคุณ
ตอนดึกแม่เดินเอาผ้าห่มมาคลุมให้หนึม บอกว่าหนึมดูแลแม่มาจนแม่แข็งแรง ตาแม่ดูแลหนึมบ้าง แล้วก็ดูพิธีปิดกีฬา Olympic ที่ปักกิ่งด้วยกันแต่แม่หลับไปอย่างรวดเร็ว
จันทร์ 25 สิงหาคม 2551
วันนี้แม่ได้ออกจากโรงพยาบาล แม่บอกว่าได้มาขึ้นสวรรค์ 10 กว่าวัน ต้องขอบคุณพี่นุ่มที่ให้ได้พักห้องดีๆ หนึมและพี่นั่มไปติดต่อที่การเงินแต่เช้า แต่ต้องกลับมารอที่ห้องเพราะที่ชั้น 15 ยังไม่ได้ส่งเรื่องลงไป ติดตามอีกหนหนึ่งคุณหัวหน้าพยาบาลที่ไม่ได้เจอบ่อยๆก็ช่วยตามให้ ลงไปจ่ายกันคนที่การเงินไม่ดูเลยว่าพี่นุ่มได้รูดบัตรเครดิตไว้แล้ว 1 แสนบาท จะมาเก็บเงินส่วนต่างที่ AIA ไม่ได้จ่ายอีก 9 หมื่นกว่าบาท โชคดีพี่นุ่มให้ใบเสร็จที่จ่ายเงินมัดจำไว้ เลยไม่มีปัญหา จ่ายเสร็จภายใน 10.00 กว่าๆ
หนึมเอาใบเขียนชมใส่ในกล่องรับความคิดเห็นที่หน้าห้องเอ็กซ์เรย์ เห็นมีใส่ไว้แล้วอยู่หลายใบ ยังคิดว่าเขาจะเปิดดูบ่อยไหมหนอ ตอนไปรับผลเอ็กซเรย์เจ้าหน้าที่แจ้งว่าหากทำหายจะขอใหม่ต้องจ่ายค่า print ใหม่ เขาบอกต้องแจ้งไว้ก่อนเท่านั้นเอง
คุณหัวหน้าพยาบาลคนนั้นมาช่วยเอารถเข็นมาเก็บของให้แม่ และคุณผู้ช่วยที่มาเช็ดตัวแม่บ่อยๆได้ยินว่าชื่อคุณแจ๊ดเป็นคนเข็นแม่มาส่งที่รถ หนึมรับแม่ขึ้นรถสิงห์ตามิดของหนึมเพราะแม่ไม่อยากปีนขึ้นรถสีม่วงของพี่นุ่ม พี่นั่มขนของทุกอย่างใส่ท้ายรถคันม่วงจนหมด เพราะเราหอบของมาเยอะ ทั้งผ้าห่มเอามาเองก็หลายกระเป๋าแล้ว ส่วนกระเช้าดอกไม้นั้นยังสดอยู่มากแต่เอากลับไม่ได้หมด คุณพยาบาลยังเสียดายกันเลย แวะทานข้าวเที่ยงที่ The Mall ท่าพระ เอารถเข็นให้แม่นั่ง คุณพยาบาลโทรเข้ามือถือแม่ว่าเราลืมของไว้ ปรากฏว่าเป็น notebook ในกระเป๋าสีส้มของหนึม เอาไปซ่อนไว้จนลืม ฝากคุณพยาบาลเก็บไว้ก่อน ไปทานที่ร้านอาหารไทยชั้น 2 เป็นมื้อแรกนอกโรงพยาบาลของแม่ ทานเสร็จหนึมไปขับรถสีม่วงกลับไปเอาของที่โรงพยาบาล ส่วนพี่นั่มขับสิงห์ตามิดพาแม่เข้าบ้าน สองดีใจที่ได้เจอแม่แต่ไม่ได้กระโจนใส่อย่างที่กังวลกันไว้
การเข้ารักษาตัวครั้งนี้ ครอบครัวของเราได้กำลังใจจากผู้คนจำนวนมาก นอกจากญาติๆแล้ว แม่เองเป็นที่รักใคร่ของผู้คนมากมาย เกษียณมา 10 กว่าปีแล้วก็ยังมีผู้คนมาเยี่ยมเยียน ส่งของมามากเต็มห้องไปหมดจนต้องวางบนที่พื้น แลแม่แบ่งไปให้ผู้อื่นต่อ ไหนจะเจ้านาย เพื่อนฝูง ลูกน้องของลูกๆ และที่ดีใจมากคือการส่งพรทางโทรศัพท์จากท่านมหาธนเทพ และพระตุ๊ พระสงฆ์ผู้กรุณาแห่งวัดอรุณฯ ที่แม่ใส่บาตรทุกเช้าหน้าปากซอยจนมาหยุดเมื่อป่วย
แม่ได้หมอที่นอกจากจะมีฝีมือแล้วก็ยังเป็นหมอที่มีความเมตตามาก ได้พยาบาล ผู้ช่วย และเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลเซ็นหลุยส์ ที่ห้อง ผ่าตัด ห้อง ccu และที่ชั้น 15 ที่มีความรู้และมีความใส่ใจเหนือความคาดหมาย ให้ความมั่นใจและอบอุ่นใจในการเข้ารับการรักษาครั้งนี้อย่างมาก
จากนี้ก็จะเข้าสู่เส้นทางของการฟื้นฟูร่างกายของแม่ และเตรียมใจกับการรักษาต่อเนื่องในรูปแบบที่พวกเราทุกคนต้องทำความรู้จักใหม่พร้อมๆกัน และเป็นกำลังใจให้กันต่อไป
วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2552
บันทึกการรักษาโรคมะเร็งปอดของแม่ สิงหาคม 2008 ตอนที่ 7
ศุกร์ 22 สิงหาคม 2551
พี่นั่มค้างที่บ้านเมื่อคืนและมาถึงแต่เช้าตรู่ เพื่อรับช่วงให้พี่นุ่มกับหนึมไปทำงาน พี่เปี้ยวและพี่กุ้งมาเยี่ยมแม่อีกครั้ง หอบขนมอร่อยๆมาอีกตามเคยและคุยเป็นเพื่อนอยู่นาน คุณพยาบาลแจ้งงดอาหารแม่ตั้งแต่ 11.00 น
ราว 11.00 น หนึมก็ออกมาโดยมีน้องออและตูนมาด้วย เมื่อคืนขอให้ตูนซื้อพวงมาลัยมาให้เพราะแม่อยากไหว้พระแม่มารีก่อนเข้ารับการผ่าตัดฝังเส้นเลือดเทียม พอดีตอนเช้าน้องออซื้ออาหารเช้า น้ำส้มคั้น และพวงมาลัยมาให้โดยไม่ได้บอกกันไว้ล่วงหน้า แม่เลยได้พวงมาลัย 3 พวงไว้ไหว้พระแม่มารี
เกด เพื่อนจิตที่ส่วนออกแบบจัดดอกไม้และผลไม้ในโหลแก้วฝากมาเยี่ยมไข้แม่ โดยพี่จรัส เกด จิต โบว์ และน้องเล็ก เซ็นชื่อกันมา แม่เห็นแล้วชอบมากบอกเก๋ดีจัดเป็นอาชีพได้ หนึมส่ง sms ไปบอกเกด เขาตอบมาว่าปลื้มสุดๆ
พี่นัทขับรถพาพี่ต้อม น้องเอ และเจี๊ยบมาเยี่ยมด้วย มีดอกไม้และผลไม้ในถาดแก้วยักษ์ใหญ่มาเยี่ยม และมานั่งคุยกับแม่อยู่ระยะหนึ่งก่อนกลับไปทำงานกัน
ประมาณ 14.30 น คุณผู้ช่วยพยาบาลชายในชุดเขียวจากห้องผ่าตัดก็มารับตัวแม่โดยมีคุณผู้ช่วยพยาบาลจากชั้น 15 เข็นรถลงไปด้วยอีก 1 คน พี่นุ่ม นั่ม และ หนึมไปกับแม่ที่ชั้น 4 เหมือนหนที่แล้ว ตอนเข็นรถผ่านรูปปั้นพระแม่มารีที่ชั้น 15 แม่ให้หนึมถวายพวงมาลัย และถวายอีกครั้งของตูนและออที่รูปพระแม่มารีที่หน้าห้องผ่าตัด เราบอกแม่ว่าเดี๋ยวเจอกันตอนแม่ออกมา เขาแจ้งว่าการผ่าจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง คุณผู้ช่วยพยาบาลจากชั้น 15 บอกว่าให้ไปรอที่ห้องพักและเมื่อแม่ผ่าตัดเสร็จแล้วเขาจะมาตาม พวกเราไม่ได้ว่าอะไรเพราะอยากรอที่หน้าห้องผ่าตัด อยากให้แม่เห็นพวกเรานาทีที่แม่ออกมา
นั่งรอหน้าห้องผ่าตัดหนึมได้รับ sms จากน้องออแจ้งว่าได้นำตูน เจี๊ยบ และน้องฝึกงานเอ และ ปริม สวดพระปริตให้แม่ เพราะหนึมหาหนังสือสวดมนต์ที่ออฟฟิซเมื่อเช้าแล้วน้องออถามว่าหาอะไร เลยเล่าให้ฟังว่าคุณสุรสิทธิ์แนะให้สวดพระปริตบทไหนก็ได้ให้คุ้มครองคนในครอบครัว มีความศักดิ์สิทธิ์จริง น้องออถามชื่อบทสวดอีกครั้งหนึมก็ไม้ได้เอะใจอะไร ซาบซึ้งในความเป็นห่วงของน้องๆมาก
คุณหมอวิชัยมาประมาณ 16.00 น ไม่ได้คุยอะไร เดินเข้าห้องผ่าตัดไปเลย มีคุณพยาบาลในชุดเขียวเดินมาส่งตลับสีน้ำตาลที่ห้องผ่าตัด หนึมแอบดูที่ช่องว่างฟิล์มติดกระจกที่ประตูห้องผ่าตัด เห็นคุณหมอวิชัยเปลี่ยนใส่ชุดเขียวถือตลับนี้เข้าห้องผ่าตัดไป คราวนี้พวกเรา 3 คนนั่งกันที่เก้าอี้พลาสติคสีเหลืองที่หน้าห้องผ่าตัดเลย พี่นั่มชมว่าเขาปั้นหน้าพระแม่มารีได้สวนมากและมีแววตาเหมือนคนจริง พี่นั่มสอนพี่นุ่มทำมือเป็นสัญลักษณ์ของพระบิดา พระบุตร พระจิต พี่นุ่มทำตาม
หนึมถ่ายรูปพวงมาลัยจากน้องออและตูนที่ถวายพระแม่มารีหน้าห้องผ่าตัดส่ง MMS ให้น้องทั้งสองได้เห็นด้วย
คุณผู้ช่วยพยาบาลคนที่เข็นแม่ลงมาเขามารับผู้ป่วยคนอื่นจากห้องผ่าตัด แล้วแวะบอกเราว่าแม่จวนเสร็จแล้ว เขาน่ารักมาก สักครู่มีเครื่อง x-ray ถูกเข็นมาเหมือนตอนที่แม่ผ่าตัดหนแรก สักครู่ก็เข็นกลับ คุณหมอวิชัยโผล่มาบอกว่าเรียบร้อยแล้ว จากนั้นคุณผู้ช่วยพยาบาลจากชั้น 15 ก็เข็นเตียงมา เป็นสัญญานว่าแม่กำลังจะออกมา แม่รู้สึกตัวดีเพราะเป็นการใช้ยาชาฉีด แต่ดูเหนื่อยๆ คุณผู้ช่วยพยาบาลชายจากห้องผ่าตัดในชุดเขียวตามมาส่งถึงข้างบน และยกตัวแม่ขึ้นเตียงนอน แม่รีบส่งสัญญานให้ให้เงินเขา 100.- บาทเพราะเขาเป็นคนคอยยกตัวแม่เปลี่ยนขึ้นลงเตียงต่างๆก่อนและหลังผ่าตัดโดยแม่ไม่เจ็บเลย
ตอนเข็นเตียงแม่กลับมาจากห้องผ่าตัดคุณชมพู่ออกมาต้อนรับดูแลให้คนมาเปิดห้องให้เพราะล็อคไว้ทุกครั้งที่พวกเราไม่อยู่ คุณพยาบาลหน้าสวยๆยกกระเช้ามาให้บอกว่ามีคนมาเยี่ยมช่วงแม่ลงไปผ่าตัด เป็นกระเช้าจากคุณธวัชวงค์ ซึ่งหนึมไม่ได้เรียนท่านให้ทราบว่าแม่ป่วย พอโทรกลับไปขอบคุณท่านถามก่อนว่าแม่เป็นอะไร พอเล่าเสร็จท่านถอนใจด้วยความโล่ง บอกว่าถ้ายังไม่กระจายก็รักษาง่ายไม่มีอะไรให้กังวล และบอกหนึมว่าขอให้บอกมาตรงๆไม่ต้องเกรงใจว่ามีอะไรในทุกๆด้านให้ช่วยได้บ้าง หนึมได้แต่อึ้ง นึกไม่ถึง ตอบไปว่าไม่มี น้ำตาแห่งความปีติคลอขึ้นมา พูดอะไรแทบไม่ออก ว่าท่านเป็นนายเก่าของหนึม จนถึงทุกวันนี้ท่านก็มีน้ำใจเผื่อแผ่ในยามยาก คุยอะไรกันอีกเล็กน้อยก่อนวางสายคุณธวัชวงค์ก็ย้ำประโยคอีก บอกว่าถ้าต้องการให้ช่วยอะไรให้มาบอก หนึมเล่าให้แม่ฟังด้วยความซาบซึ้งใจ
แม่นอนพักสัก 1 ชั่วโมงก็ลุกทานอาหารเย็นตามที่คุณหมอวิชัยบอกมา แม่ทานได้มากคงเพราะหิว แล้วก็เข้านอนพักเลย คุณสุกัญญาและคุณตุ๊กจาก AIA แวะมามีพี่นุ่มเป็นคนต้อนรับ เขาไปผิดโรงพยาบาลเลยใช้เวลาในการเดินทางพอสมควร เขากลับกันไปตอน 21.00 น
น้องออสง sms มาถามตอนดึกว่าผลการผ่าเป็นอย่างไร หนึมโทรกลับไปจึงทราบว่าน้องออไปทำบุญโลงศพที่วัดหัวลำโพงในนามแม่ให้ด้วย
พี่นั่มค้างที่บ้านเมื่อคืนและมาถึงแต่เช้าตรู่ เพื่อรับช่วงให้พี่นุ่มกับหนึมไปทำงาน พี่เปี้ยวและพี่กุ้งมาเยี่ยมแม่อีกครั้ง หอบขนมอร่อยๆมาอีกตามเคยและคุยเป็นเพื่อนอยู่นาน คุณพยาบาลแจ้งงดอาหารแม่ตั้งแต่ 11.00 น
ราว 11.00 น หนึมก็ออกมาโดยมีน้องออและตูนมาด้วย เมื่อคืนขอให้ตูนซื้อพวงมาลัยมาให้เพราะแม่อยากไหว้พระแม่มารีก่อนเข้ารับการผ่าตัดฝังเส้นเลือดเทียม พอดีตอนเช้าน้องออซื้ออาหารเช้า น้ำส้มคั้น และพวงมาลัยมาให้โดยไม่ได้บอกกันไว้ล่วงหน้า แม่เลยได้พวงมาลัย 3 พวงไว้ไหว้พระแม่มารี
เกด เพื่อนจิตที่ส่วนออกแบบจัดดอกไม้และผลไม้ในโหลแก้วฝากมาเยี่ยมไข้แม่ โดยพี่จรัส เกด จิต โบว์ และน้องเล็ก เซ็นชื่อกันมา แม่เห็นแล้วชอบมากบอกเก๋ดีจัดเป็นอาชีพได้ หนึมส่ง sms ไปบอกเกด เขาตอบมาว่าปลื้มสุดๆ
พี่นัทขับรถพาพี่ต้อม น้องเอ และเจี๊ยบมาเยี่ยมด้วย มีดอกไม้และผลไม้ในถาดแก้วยักษ์ใหญ่มาเยี่ยม และมานั่งคุยกับแม่อยู่ระยะหนึ่งก่อนกลับไปทำงานกัน
ประมาณ 14.30 น คุณผู้ช่วยพยาบาลชายในชุดเขียวจากห้องผ่าตัดก็มารับตัวแม่โดยมีคุณผู้ช่วยพยาบาลจากชั้น 15 เข็นรถลงไปด้วยอีก 1 คน พี่นุ่ม นั่ม และ หนึมไปกับแม่ที่ชั้น 4 เหมือนหนที่แล้ว ตอนเข็นรถผ่านรูปปั้นพระแม่มารีที่ชั้น 15 แม่ให้หนึมถวายพวงมาลัย และถวายอีกครั้งของตูนและออที่รูปพระแม่มารีที่หน้าห้องผ่าตัด เราบอกแม่ว่าเดี๋ยวเจอกันตอนแม่ออกมา เขาแจ้งว่าการผ่าจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง คุณผู้ช่วยพยาบาลจากชั้น 15 บอกว่าให้ไปรอที่ห้องพักและเมื่อแม่ผ่าตัดเสร็จแล้วเขาจะมาตาม พวกเราไม่ได้ว่าอะไรเพราะอยากรอที่หน้าห้องผ่าตัด อยากให้แม่เห็นพวกเรานาทีที่แม่ออกมา
นั่งรอหน้าห้องผ่าตัดหนึมได้รับ sms จากน้องออแจ้งว่าได้นำตูน เจี๊ยบ และน้องฝึกงานเอ และ ปริม สวดพระปริตให้แม่ เพราะหนึมหาหนังสือสวดมนต์ที่ออฟฟิซเมื่อเช้าแล้วน้องออถามว่าหาอะไร เลยเล่าให้ฟังว่าคุณสุรสิทธิ์แนะให้สวดพระปริตบทไหนก็ได้ให้คุ้มครองคนในครอบครัว มีความศักดิ์สิทธิ์จริง น้องออถามชื่อบทสวดอีกครั้งหนึมก็ไม้ได้เอะใจอะไร ซาบซึ้งในความเป็นห่วงของน้องๆมาก
คุณหมอวิชัยมาประมาณ 16.00 น ไม่ได้คุยอะไร เดินเข้าห้องผ่าตัดไปเลย มีคุณพยาบาลในชุดเขียวเดินมาส่งตลับสีน้ำตาลที่ห้องผ่าตัด หนึมแอบดูที่ช่องว่างฟิล์มติดกระจกที่ประตูห้องผ่าตัด เห็นคุณหมอวิชัยเปลี่ยนใส่ชุดเขียวถือตลับนี้เข้าห้องผ่าตัดไป คราวนี้พวกเรา 3 คนนั่งกันที่เก้าอี้พลาสติคสีเหลืองที่หน้าห้องผ่าตัดเลย พี่นั่มชมว่าเขาปั้นหน้าพระแม่มารีได้สวนมากและมีแววตาเหมือนคนจริง พี่นั่มสอนพี่นุ่มทำมือเป็นสัญลักษณ์ของพระบิดา พระบุตร พระจิต พี่นุ่มทำตาม
หนึมถ่ายรูปพวงมาลัยจากน้องออและตูนที่ถวายพระแม่มารีหน้าห้องผ่าตัดส่ง MMS ให้น้องทั้งสองได้เห็นด้วย
คุณผู้ช่วยพยาบาลคนที่เข็นแม่ลงมาเขามารับผู้ป่วยคนอื่นจากห้องผ่าตัด แล้วแวะบอกเราว่าแม่จวนเสร็จแล้ว เขาน่ารักมาก สักครู่มีเครื่อง x-ray ถูกเข็นมาเหมือนตอนที่แม่ผ่าตัดหนแรก สักครู่ก็เข็นกลับ คุณหมอวิชัยโผล่มาบอกว่าเรียบร้อยแล้ว จากนั้นคุณผู้ช่วยพยาบาลจากชั้น 15 ก็เข็นเตียงมา เป็นสัญญานว่าแม่กำลังจะออกมา แม่รู้สึกตัวดีเพราะเป็นการใช้ยาชาฉีด แต่ดูเหนื่อยๆ คุณผู้ช่วยพยาบาลชายจากห้องผ่าตัดในชุดเขียวตามมาส่งถึงข้างบน และยกตัวแม่ขึ้นเตียงนอน แม่รีบส่งสัญญานให้ให้เงินเขา 100.- บาทเพราะเขาเป็นคนคอยยกตัวแม่เปลี่ยนขึ้นลงเตียงต่างๆก่อนและหลังผ่าตัดโดยแม่ไม่เจ็บเลย
ตอนเข็นเตียงแม่กลับมาจากห้องผ่าตัดคุณชมพู่ออกมาต้อนรับดูแลให้คนมาเปิดห้องให้เพราะล็อคไว้ทุกครั้งที่พวกเราไม่อยู่ คุณพยาบาลหน้าสวยๆยกกระเช้ามาให้บอกว่ามีคนมาเยี่ยมช่วงแม่ลงไปผ่าตัด เป็นกระเช้าจากคุณธวัชวงค์ ซึ่งหนึมไม่ได้เรียนท่านให้ทราบว่าแม่ป่วย พอโทรกลับไปขอบคุณท่านถามก่อนว่าแม่เป็นอะไร พอเล่าเสร็จท่านถอนใจด้วยความโล่ง บอกว่าถ้ายังไม่กระจายก็รักษาง่ายไม่มีอะไรให้กังวล และบอกหนึมว่าขอให้บอกมาตรงๆไม่ต้องเกรงใจว่ามีอะไรในทุกๆด้านให้ช่วยได้บ้าง หนึมได้แต่อึ้ง นึกไม่ถึง ตอบไปว่าไม่มี น้ำตาแห่งความปีติคลอขึ้นมา พูดอะไรแทบไม่ออก ว่าท่านเป็นนายเก่าของหนึม จนถึงทุกวันนี้ท่านก็มีน้ำใจเผื่อแผ่ในยามยาก คุยอะไรกันอีกเล็กน้อยก่อนวางสายคุณธวัชวงค์ก็ย้ำประโยคอีก บอกว่าถ้าต้องการให้ช่วยอะไรให้มาบอก หนึมเล่าให้แม่ฟังด้วยความซาบซึ้งใจ
แม่นอนพักสัก 1 ชั่วโมงก็ลุกทานอาหารเย็นตามที่คุณหมอวิชัยบอกมา แม่ทานได้มากคงเพราะหิว แล้วก็เข้านอนพักเลย คุณสุกัญญาและคุณตุ๊กจาก AIA แวะมามีพี่นุ่มเป็นคนต้อนรับ เขาไปผิดโรงพยาบาลเลยใช้เวลาในการเดินทางพอสมควร เขากลับกันไปตอน 21.00 น
น้องออสง sms มาถามตอนดึกว่าผลการผ่าเป็นอย่างไร หนึมโทรกลับไปจึงทราบว่าน้องออไปทำบุญโลงศพที่วัดหัวลำโพงในนามแม่ให้ด้วย
บันทึกการรักษาโรคมะเร็งปอดของแม่ สิงหาคม 2008 ตอนที่ 6
พฤหัสบดี 21 สิงหาคม 2551
เช้าหนึมและพี่นุ่มออกไปทำงานเมื่อพี่นั่มมาถึงตั้งแต่ 5.00 น กว่าๆ ป้าจูนั่งแท็กซี่คนเดียวมาเยี่ยมแม่พร้อมด้วยเชอร์รี่กล่องโต และ ข้าวเหนียวมะม่งถุงใหญ่ คุณป้านั่งคุยกับแม่อยู่นาน และพี่นั่มลงไปเรียกแท็กซี่ที่หน้าโรงพยาบาลให้คุณป้า
พี่นั่มบอกแม่เรื่องการจากไปของกลับ แม่ไม่ได้เศร้ามาก บอกว่ากลับต้องเหนื่อยอ่อนและเป็นทุกข์รำคาญมามาก มันคงได้ไปสบายแล้ว
หนึมทำงานถึงเที่ยงก็กลับมา เที่ยงคุณนุชเพื่อนพี่นั่มมาเยี่ยมแม่สั้นๆ หอบกระเช้าผลไม้มา จากนั้นพี่สามารถและพี่หน่อยลูกน้องเก่าแม่จาก AIA มาเยี่มและคุยอยู่นาน แม่ดีใจมากที่ได้เจอพี่หน่อยเพราะแทบไม่ได้เจอกันเลย ทั้งคู่ชมว่าแม่ดูไม่เหมือนคนเพิ่งผ่าตัดมาเลย ทั้งคู่อยู่กันนานพอสมควรจนเราเข้าไปเบรกด้วยการเอาของว่างเข้าไปให้แม่ พอดีเที่ยงมีแต่อาหารจืดๆแม่ทานไม่ลงและกำลังหิว
คุณผู้ช่วยพยาบาล 2 คนเข้ามาเช็ดตัวให้แม่ แม่หยิบ gift voucher มาให้เขาคนละ 400 บาท เขาขอบคุณแม่ใหญ่
พี่นั่มและหนึมพาแม่นั่งรถเข็นเอาพวงมาลัยไปไหว้พระแม่มารีที่ชั้น 16 แล้วเข็นรถไปดูวิวก็พอดีเจ๊พวงเดินออกจากลิฟท์มา มาคุยกันที่ห้อง แม่นั่งที่เก้าอี้โซฟารับแขกแล้ว คุยอยู่นาน เจ๊พวงก็ชมว่าแม่ดูสดใส เจ๊พวงหอบกระเช้าดอกไม้สวยมากมาให้แม่ด้วย พี่นั่มคอยถ่ายรูปกระเช้าของเยี่ยมและดอกไม้ให้แม่ ถึงตอนนั้นก็ 16.00 กว่าๆแล้วแม่ถึงได้นอนพัก
พี่นุ่มมาถึงราวๆ 17.00 น แม่รอทานอาหารเย็นพร้อมพวกเรา พี่นุ่มให้ลูกน้องซื้อพวกข้าวหน้าต่างๆของญี่ปุ่นมาให้พวกเรากินกัน แม่ได้ดูนกบิน ได้ดูไฟเมืองตอนกลางคืนจากโต๊ะอาหาร กำลังทานอยู่คุณหมอวิโรจน์ก็เข้ามา พี่นุ่มรีบสละเก้าอี้ให้ แม่ก็ชวนคุณหมอทานข้าว คุณหมอดูเป็นคนหนุ่ม สุภาพ และค่อยๆอธิบายเรื่องการเตรียมตัวฉีดยา ว่าเส้นเลือดอาจอักเสบได้ ฉะนั้นจะให้ใส่เส้นเลือดเทียมฝังที่ใต้ไหปลาร้าซ้าย จะอยู่ใต้ผิวหนังลูบดูจะรู้สึก เป็นการผ่าตัดเล็ก ใส่ครั้งเดียวก็ใช้ใส่ยาไปจนกว่าจะฉีดยาเสร็จในระยะเวลา 3 เดือนครึ่ง คุณหมอวิชัยเป็นคนผ่าให้โดยอาจจะพักหลังผ่าแค่คืนเดียว คาดว่าจะผ่าวันเสาร์แล้ววันอาทิตย์น่าจะกลับบ้านได้จากนั้นกลับบ้านพักฟื้น 3 – 4 สัปดาห์ให้แผลผ่าตัดปอดหายและร่างกายแข็งแรงค่อยเริ่มฉีดยา หมออยากให้แม่พักมากๆ ไปเดินห้างทานข้าวข้างนอกได้ แต่ให้ทานอาหารให้ครบหมู่ ทานผักผลไม้ และไม่ทำสวนรดน้ำต้นไม้ แค่เดินเด็ดดอกไม้พอ แม่ขอบคุณหมอมากเหมือนเช่นเคย
พวกเราทานข้าวเหนียวมะม่วงของป้าจู และลูกตาลลอยแก้วของคุณโอเพื่อนพี่นั่ม แม่ใจแข็งไม่ทานขนมหวานเลย ทานแต่มะละกอที่มาในถาดอาหารของแม่ พี่นั่มให้กำลังใจแม่และให้แม่ทำใจกับการเจ็บป่วย ให้แยกจิตกับกาย ให้เจ็บปวดกายพอ พี่นั่มบอกว่าเราผลัดกันเจ็บป่วย มีโรคแปลกๆวิธีรักษาใหม่ๆ พี่นั่มเคยป่วยต้องเจาะลำตัวเอาอากาศออกเพราะปอดรั่ว เอาความประสบการณ์หนนั้นมาช่วยแม่ได้ในครั้งนี้ หนนี้แม่จะฝังเส้นเลือดเทียมก็เป็นความรู้ให้พวกเรา ไม่มีอะไรน่าเบื่อเลย
แม่เข้านอนและค่อนข้างปวดแผล หนึมวิ่งไปขอยามาให้ คุณพยาบาลอธิบายว่าไม่ได้ให้ยาแก้ปวดทุกมื้อแล้ว แต่ให้ตามที่แม่รู้สึกปวดเป็นครั้งๆไป แม่ถามว่าจะปวดอีกนานไหม คุณพยาบาลบอกว่านานเพราะผ่าใหญ่ แต่จะปวดถี่น้อยลงและความปวดในแต่ละครั้งจะน้อยลง จึงต้องฟักฟื้นให้มากๆ ไม่ใช้ร่างกายมากเกินไป ต้องบำรุงให้พร้อมกับการรักษา คุณพยาบาลใจดีและให้กำลังใจมาก แม่เข้านอนแต่หัววัน
แม่นึกถึงของเยี่ยมที่ได้มามาก ตอนแรกจะให้ถามที่โรงพยาบาลว่ามีผู้ป่วยอนาถาไหม จะได้แบ่งให้เขาบ้าง แต่ในที่สุดแม่ให้หนึมคัดเลือกผลไม้ที่ได้มามาก คัดเอาของดีๆแพงๆไปแบ่งให้คุณป้อมคุณนาข้างบ้าน โดยพี่นั่มจะเอาไปให้คืนนี้ ส่วนรังนกก็ได้มามาก แม่ให้แบ่งไปให้ลูก 2 คนของเอก และจะเอาที่เป็นกระเช้าๆไปถวายโรงพยาบาลสงฆ์หรือไม่ก็พระอาพาทที่มูลนิธิหลวงปู่มั่น แม่มีน้ำใจคิดถึงคนอื่นเสมอ
พอขึ้นเตียงนอน แม่ดูเหนื่อยมาก แม่ถามพวกเรา 3 คนว่าเบื่อไหมที่แม่งอแง แม่ดูเศร้ามาก พวกเรา 3 คนรุมล้อมแม่ที่นอนบนเตียง หอมและจับมือแม่ บอกแม่ว่าไม่เบื่อเลย มีแต่จะให้กำลังใจแม่ สู้ด้วยกัน แม่บอกว่าแม่ดีใจที่มีนางฟ้าเทวดาเป็นลูก 3 คนอยู่กับแม่ดูแลแม่ คืนนี้พี่นุ่มและหนึมอยู่เป็นเพื่อนแม่ พี่นั่มกลับไปดูแลบ้านและสอง
เช้าหนึมและพี่นุ่มออกไปทำงานเมื่อพี่นั่มมาถึงตั้งแต่ 5.00 น กว่าๆ ป้าจูนั่งแท็กซี่คนเดียวมาเยี่ยมแม่พร้อมด้วยเชอร์รี่กล่องโต และ ข้าวเหนียวมะม่งถุงใหญ่ คุณป้านั่งคุยกับแม่อยู่นาน และพี่นั่มลงไปเรียกแท็กซี่ที่หน้าโรงพยาบาลให้คุณป้า
พี่นั่มบอกแม่เรื่องการจากไปของกลับ แม่ไม่ได้เศร้ามาก บอกว่ากลับต้องเหนื่อยอ่อนและเป็นทุกข์รำคาญมามาก มันคงได้ไปสบายแล้ว
หนึมทำงานถึงเที่ยงก็กลับมา เที่ยงคุณนุชเพื่อนพี่นั่มมาเยี่ยมแม่สั้นๆ หอบกระเช้าผลไม้มา จากนั้นพี่สามารถและพี่หน่อยลูกน้องเก่าแม่จาก AIA มาเยี่มและคุยอยู่นาน แม่ดีใจมากที่ได้เจอพี่หน่อยเพราะแทบไม่ได้เจอกันเลย ทั้งคู่ชมว่าแม่ดูไม่เหมือนคนเพิ่งผ่าตัดมาเลย ทั้งคู่อยู่กันนานพอสมควรจนเราเข้าไปเบรกด้วยการเอาของว่างเข้าไปให้แม่ พอดีเที่ยงมีแต่อาหารจืดๆแม่ทานไม่ลงและกำลังหิว
คุณผู้ช่วยพยาบาล 2 คนเข้ามาเช็ดตัวให้แม่ แม่หยิบ gift voucher มาให้เขาคนละ 400 บาท เขาขอบคุณแม่ใหญ่
พี่นั่มและหนึมพาแม่นั่งรถเข็นเอาพวงมาลัยไปไหว้พระแม่มารีที่ชั้น 16 แล้วเข็นรถไปดูวิวก็พอดีเจ๊พวงเดินออกจากลิฟท์มา มาคุยกันที่ห้อง แม่นั่งที่เก้าอี้โซฟารับแขกแล้ว คุยอยู่นาน เจ๊พวงก็ชมว่าแม่ดูสดใส เจ๊พวงหอบกระเช้าดอกไม้สวยมากมาให้แม่ด้วย พี่นั่มคอยถ่ายรูปกระเช้าของเยี่ยมและดอกไม้ให้แม่ ถึงตอนนั้นก็ 16.00 กว่าๆแล้วแม่ถึงได้นอนพัก
พี่นุ่มมาถึงราวๆ 17.00 น แม่รอทานอาหารเย็นพร้อมพวกเรา พี่นุ่มให้ลูกน้องซื้อพวกข้าวหน้าต่างๆของญี่ปุ่นมาให้พวกเรากินกัน แม่ได้ดูนกบิน ได้ดูไฟเมืองตอนกลางคืนจากโต๊ะอาหาร กำลังทานอยู่คุณหมอวิโรจน์ก็เข้ามา พี่นุ่มรีบสละเก้าอี้ให้ แม่ก็ชวนคุณหมอทานข้าว คุณหมอดูเป็นคนหนุ่ม สุภาพ และค่อยๆอธิบายเรื่องการเตรียมตัวฉีดยา ว่าเส้นเลือดอาจอักเสบได้ ฉะนั้นจะให้ใส่เส้นเลือดเทียมฝังที่ใต้ไหปลาร้าซ้าย จะอยู่ใต้ผิวหนังลูบดูจะรู้สึก เป็นการผ่าตัดเล็ก ใส่ครั้งเดียวก็ใช้ใส่ยาไปจนกว่าจะฉีดยาเสร็จในระยะเวลา 3 เดือนครึ่ง คุณหมอวิชัยเป็นคนผ่าให้โดยอาจจะพักหลังผ่าแค่คืนเดียว คาดว่าจะผ่าวันเสาร์แล้ววันอาทิตย์น่าจะกลับบ้านได้จากนั้นกลับบ้านพักฟื้น 3 – 4 สัปดาห์ให้แผลผ่าตัดปอดหายและร่างกายแข็งแรงค่อยเริ่มฉีดยา หมออยากให้แม่พักมากๆ ไปเดินห้างทานข้าวข้างนอกได้ แต่ให้ทานอาหารให้ครบหมู่ ทานผักผลไม้ และไม่ทำสวนรดน้ำต้นไม้ แค่เดินเด็ดดอกไม้พอ แม่ขอบคุณหมอมากเหมือนเช่นเคย
พวกเราทานข้าวเหนียวมะม่วงของป้าจู และลูกตาลลอยแก้วของคุณโอเพื่อนพี่นั่ม แม่ใจแข็งไม่ทานขนมหวานเลย ทานแต่มะละกอที่มาในถาดอาหารของแม่ พี่นั่มให้กำลังใจแม่และให้แม่ทำใจกับการเจ็บป่วย ให้แยกจิตกับกาย ให้เจ็บปวดกายพอ พี่นั่มบอกว่าเราผลัดกันเจ็บป่วย มีโรคแปลกๆวิธีรักษาใหม่ๆ พี่นั่มเคยป่วยต้องเจาะลำตัวเอาอากาศออกเพราะปอดรั่ว เอาความประสบการณ์หนนั้นมาช่วยแม่ได้ในครั้งนี้ หนนี้แม่จะฝังเส้นเลือดเทียมก็เป็นความรู้ให้พวกเรา ไม่มีอะไรน่าเบื่อเลย
แม่เข้านอนและค่อนข้างปวดแผล หนึมวิ่งไปขอยามาให้ คุณพยาบาลอธิบายว่าไม่ได้ให้ยาแก้ปวดทุกมื้อแล้ว แต่ให้ตามที่แม่รู้สึกปวดเป็นครั้งๆไป แม่ถามว่าจะปวดอีกนานไหม คุณพยาบาลบอกว่านานเพราะผ่าใหญ่ แต่จะปวดถี่น้อยลงและความปวดในแต่ละครั้งจะน้อยลง จึงต้องฟักฟื้นให้มากๆ ไม่ใช้ร่างกายมากเกินไป ต้องบำรุงให้พร้อมกับการรักษา คุณพยาบาลใจดีและให้กำลังใจมาก แม่เข้านอนแต่หัววัน
แม่นึกถึงของเยี่ยมที่ได้มามาก ตอนแรกจะให้ถามที่โรงพยาบาลว่ามีผู้ป่วยอนาถาไหม จะได้แบ่งให้เขาบ้าง แต่ในที่สุดแม่ให้หนึมคัดเลือกผลไม้ที่ได้มามาก คัดเอาของดีๆแพงๆไปแบ่งให้คุณป้อมคุณนาข้างบ้าน โดยพี่นั่มจะเอาไปให้คืนนี้ ส่วนรังนกก็ได้มามาก แม่ให้แบ่งไปให้ลูก 2 คนของเอก และจะเอาที่เป็นกระเช้าๆไปถวายโรงพยาบาลสงฆ์หรือไม่ก็พระอาพาทที่มูลนิธิหลวงปู่มั่น แม่มีน้ำใจคิดถึงคนอื่นเสมอ
พอขึ้นเตียงนอน แม่ดูเหนื่อยมาก แม่ถามพวกเรา 3 คนว่าเบื่อไหมที่แม่งอแง แม่ดูเศร้ามาก พวกเรา 3 คนรุมล้อมแม่ที่นอนบนเตียง หอมและจับมือแม่ บอกแม่ว่าไม่เบื่อเลย มีแต่จะให้กำลังใจแม่ สู้ด้วยกัน แม่บอกว่าแม่ดีใจที่มีนางฟ้าเทวดาเป็นลูก 3 คนอยู่กับแม่ดูแลแม่ คืนนี้พี่นุ่มและหนึมอยู่เป็นเพื่อนแม่ พี่นั่มกลับไปดูแลบ้านและสอง
บันทึกการรักษาโรคมะเร็งปอดของแม่ สิงหาคม 2008 ตอนที่ 5
จันทร์ 18 สิงหาคม 2551
พี่กุ้งและพี่เปี้ยวมาเยี่ยม เอาของมาฝากทั้งแม่และพวกเราคนเฝ้าไข้ ได้คุยอยู่กับแม่ตั้งนาน หลานสะใภ้กุ้ง ภรรยาโอ๊คแวะมาเยี่ยม บอกว่าสวดให้คุณย่าด้วย พี่เกี๊ยะและพี่ลัดดามาตอนเย็น หิ้วตะกร้ารังนกมาให้ แม่โชว์รูปสอง ที่วางไว้ในโต๊ะเล็กๆในห้องของปม่ให้ดู ทั้งคุณพยาบาลและคุณผู้ช่วยทักรูปสองกันแทบทุกคน มีดอกไม้ 1 แจกันเล็กๆจากพี่ดวงและชาว HR ที่บริษัทฯหนึม จัดดอกไม้ทรงกลมสีสันออกเหลืองๆน่ารักดี
วันนี้คุณหมอมาตอน 4 ทุ่มเพราะออกคลีนิคนอกเวลาที่โรงพยาบาลจุฬา และรถก็ติดมากด้วย คุณหมอ เอาสาย drain จากปอดออก 1 เส้นจากด้านขวาของลำตัวแม่ แม่เกร็งตอนหมอดึงสายออก และเอาสายน้ำเกลือออกแล้ว ผลการตรวจต่อมน้ำเหลืองออกมาแล้ว หมอบอกว่าต่อมน้ำเหลืองโต 1 เม็ด แต่ไม่มีการกระจาย พวกเราดีใจกันมาก หลังจากนี้ให้พักฟื้นให้ร่างกายแข็งแรงแล้งจึงจะเริ่มการป้องกันการกลับมาของมะเร็ง
ดึกหน่อยคุณจ๊อดมาพร้อมลูกน้องพี่นุ่มชื่อปีเตอร์ หิ้วกระเช้าดอกไม้และผลไม้ที่ลูกน้องพี่นุ่มจัดกันเองใบใหญ่มากมาเยี่ยม ดอกไม้สีขาวสวย
อังคาร 19 สิงหาคม 2551
เช้าวันนี้เอาสายปัสสาวะออก แม่บอกว่าไม่เจ็บแต่เสียวๆตอนคุณพยาบาลดึงสายออก ทำให้ไม่มีสายอะไรจากด้านซ้ายของแม่แล้ว แม่นอนไม่หลับในคืนที่ผ่านๆมาเพราะมีสายระโยงระยาง ปวดแผล พลิกตัวไม่ได้เลย ปวดเมื่อยไปหมด ได้แต่นอนดูนาฬิกาบนกำแพงจนเช้า
ตอน 11.30 น อาพิจิตรใส่รองเท้าผ้าใบขึ้นรถไฟฟ้ามาเยี่ยมแม่ หลังจากคอยโทรถามอาการมาก่อนหน้านี้แล้ว 2 ครั้ง แม่นั่งทานข้าวที่เตียงโดยไม่ต้องพิงเป็นหนแรก คุยกันอยู่นาน จนหนึมเห็นแม่เหงื่อแตกมาก เข้าไปเช็ดและถามแม่ก็ไม่พูดอะไร ตอนเที่ยงลูกน้องเก่าของแม่มากัน พี่หมูมาหนที่สอง พี่เกี๊ยะด้วย และมีพี่ธีระพงษ์ พี่สุวนี และเพื่อพี่นุ่มพี่ม้อ คุยกันรอบเตียงแม่อยู่นาน จนบ่ายโมงกว่าจึงกลับโดยอาพิจิตรเป็นคนชวนให้กลับ พอไปปุ๊บแม่เหนื่อยมากลงนอนและหลับยาวเลย
อาอ้ายมาบ่ายๆพร้อมด้วยกระเช้าผลไม้ นั่งคุยกับแม่อยู่ครู่หนึ่งก็ให้แม่นอน ออกมาบอกหนึมว่าให้ปิดประตูห้องแม่อย่าให้ใครเข้าเยี่ยมอีก อาอ้ายใจดีมาก
เวลา 18.00 น คุณหมอวิชัยเอาสาย drain จากปอดเส้นที่สอง(เส้นสุดท้าย)ออกแล้ว โดยมีคุณพยาบาลอารมณ์ดีตัวเล็กชื่อชมพู่มาช่วยอีกครั้ง คุณหมอวิชัยบอกให้แม่เดินได้แล้ว บอกว่าเก่ง หายเร็ว เพราะบางคนต้องถึง 7 วันถึงจะถอดสายได้ หมอดึงสายออกแม่ไม่รู้สึกเลย หมอบอกว่าสามารถออกจากโรงพยาบาลวันเสาร์นี้ได้ และนัดให้พบหมอวิโรจน์เย็นนี้ เพื่อคุยเรื่องการให้ยาต่อ ซึ่งจะทำการรักษาได้ 2 สัปดาห์หลังจากกลับบ้าน ระหว่าง 2 สัปดาห์นี้ให้บำรุงร่างกายให้แข็งแรง หมอวิโรจน์มีทางเลือก 2 ทางว่าจะฉีดยา หรือฉายแสง ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของหมอวิโรจน์ โดยหมอวิชัยจะ follow up ด้วย ซึ่งหมอจะให้คำแนะนำว่าจะต้องมาตรวจถี่แค่ไหน ตอนนี้แม่จึงเหลือแค่เข็มที่มือซ้ายค้างไว้อย่างเดียว
พี่นุ่มถามพยาบาลที่ชั้น 15 เช็คค่าใช้จ่าย ณ วันนี้ว่าเป็น 120,000.- บาทยังไม่รวมค่าหมอ ซึ่งจะคิดให้ในวันสุดท้ายของการรักษา
แม่บอกว่าตอนหมอดึงสาย drain ออกไม่เจ็บแต่มาระบมเอาทีหลัง แม่ยังได้รับยาแก้ปวดหลังอาหารทุกมื้อวันละ 2 เม็ดอยู่ และมียาละลายเสมหะ
พุธ 20 สิงหาคม 2551
เช้าแม่เดินเกาะแขนพี่นั่มและหนึมไปทานอาหารเช้าที่โต๊ะในห้องรับแขกเป็นหนแรก ไม่มึนศีรษะและไม่หายใจขัดด้วย เดินไปห้องน้ำได้เอง และพี่นั่มพาขึ้นรถเข็นไปข้างนอกห้องเป็นครั้งแรก ไหว้พระแม่มารีที่ชั้น 15 ที่แม่ได้ไหว้ครั้งหนึ่งขณะอยู่บนเตียงเข็นไปห้องผ่าตัด และลงไปชั้นล่างไหว้พระแม่มารีที่ล็อบบี้ ทั้ง 2 ที่นี้เราได้นำพวงมาลัยและดอกบัวมาไหว้ขอบพระคุณท่านที่ช่วยคุ้มครองแม่ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว
พี่กุ้งและพี่เปี้ยวมาเยี่ยม เอาของมาฝากทั้งแม่และพวกเราคนเฝ้าไข้ ได้คุยอยู่กับแม่ตั้งนาน หลานสะใภ้กุ้ง ภรรยาโอ๊คแวะมาเยี่ยม บอกว่าสวดให้คุณย่าด้วย พี่เกี๊ยะและพี่ลัดดามาตอนเย็น หิ้วตะกร้ารังนกมาให้ แม่โชว์รูปสอง ที่วางไว้ในโต๊ะเล็กๆในห้องของปม่ให้ดู ทั้งคุณพยาบาลและคุณผู้ช่วยทักรูปสองกันแทบทุกคน มีดอกไม้ 1 แจกันเล็กๆจากพี่ดวงและชาว HR ที่บริษัทฯหนึม จัดดอกไม้ทรงกลมสีสันออกเหลืองๆน่ารักดี
วันนี้คุณหมอมาตอน 4 ทุ่มเพราะออกคลีนิคนอกเวลาที่โรงพยาบาลจุฬา และรถก็ติดมากด้วย คุณหมอ เอาสาย drain จากปอดออก 1 เส้นจากด้านขวาของลำตัวแม่ แม่เกร็งตอนหมอดึงสายออก และเอาสายน้ำเกลือออกแล้ว ผลการตรวจต่อมน้ำเหลืองออกมาแล้ว หมอบอกว่าต่อมน้ำเหลืองโต 1 เม็ด แต่ไม่มีการกระจาย พวกเราดีใจกันมาก หลังจากนี้ให้พักฟื้นให้ร่างกายแข็งแรงแล้งจึงจะเริ่มการป้องกันการกลับมาของมะเร็ง
ดึกหน่อยคุณจ๊อดมาพร้อมลูกน้องพี่นุ่มชื่อปีเตอร์ หิ้วกระเช้าดอกไม้และผลไม้ที่ลูกน้องพี่นุ่มจัดกันเองใบใหญ่มากมาเยี่ยม ดอกไม้สีขาวสวย
อังคาร 19 สิงหาคม 2551
เช้าวันนี้เอาสายปัสสาวะออก แม่บอกว่าไม่เจ็บแต่เสียวๆตอนคุณพยาบาลดึงสายออก ทำให้ไม่มีสายอะไรจากด้านซ้ายของแม่แล้ว แม่นอนไม่หลับในคืนที่ผ่านๆมาเพราะมีสายระโยงระยาง ปวดแผล พลิกตัวไม่ได้เลย ปวดเมื่อยไปหมด ได้แต่นอนดูนาฬิกาบนกำแพงจนเช้า
ตอน 11.30 น อาพิจิตรใส่รองเท้าผ้าใบขึ้นรถไฟฟ้ามาเยี่ยมแม่ หลังจากคอยโทรถามอาการมาก่อนหน้านี้แล้ว 2 ครั้ง แม่นั่งทานข้าวที่เตียงโดยไม่ต้องพิงเป็นหนแรก คุยกันอยู่นาน จนหนึมเห็นแม่เหงื่อแตกมาก เข้าไปเช็ดและถามแม่ก็ไม่พูดอะไร ตอนเที่ยงลูกน้องเก่าของแม่มากัน พี่หมูมาหนที่สอง พี่เกี๊ยะด้วย และมีพี่ธีระพงษ์ พี่สุวนี และเพื่อพี่นุ่มพี่ม้อ คุยกันรอบเตียงแม่อยู่นาน จนบ่ายโมงกว่าจึงกลับโดยอาพิจิตรเป็นคนชวนให้กลับ พอไปปุ๊บแม่เหนื่อยมากลงนอนและหลับยาวเลย
อาอ้ายมาบ่ายๆพร้อมด้วยกระเช้าผลไม้ นั่งคุยกับแม่อยู่ครู่หนึ่งก็ให้แม่นอน ออกมาบอกหนึมว่าให้ปิดประตูห้องแม่อย่าให้ใครเข้าเยี่ยมอีก อาอ้ายใจดีมาก
เวลา 18.00 น คุณหมอวิชัยเอาสาย drain จากปอดเส้นที่สอง(เส้นสุดท้าย)ออกแล้ว โดยมีคุณพยาบาลอารมณ์ดีตัวเล็กชื่อชมพู่มาช่วยอีกครั้ง คุณหมอวิชัยบอกให้แม่เดินได้แล้ว บอกว่าเก่ง หายเร็ว เพราะบางคนต้องถึง 7 วันถึงจะถอดสายได้ หมอดึงสายออกแม่ไม่รู้สึกเลย หมอบอกว่าสามารถออกจากโรงพยาบาลวันเสาร์นี้ได้ และนัดให้พบหมอวิโรจน์เย็นนี้ เพื่อคุยเรื่องการให้ยาต่อ ซึ่งจะทำการรักษาได้ 2 สัปดาห์หลังจากกลับบ้าน ระหว่าง 2 สัปดาห์นี้ให้บำรุงร่างกายให้แข็งแรง หมอวิโรจน์มีทางเลือก 2 ทางว่าจะฉีดยา หรือฉายแสง ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของหมอวิโรจน์ โดยหมอวิชัยจะ follow up ด้วย ซึ่งหมอจะให้คำแนะนำว่าจะต้องมาตรวจถี่แค่ไหน ตอนนี้แม่จึงเหลือแค่เข็มที่มือซ้ายค้างไว้อย่างเดียว
พี่นุ่มถามพยาบาลที่ชั้น 15 เช็คค่าใช้จ่าย ณ วันนี้ว่าเป็น 120,000.- บาทยังไม่รวมค่าหมอ ซึ่งจะคิดให้ในวันสุดท้ายของการรักษา
แม่บอกว่าตอนหมอดึงสาย drain ออกไม่เจ็บแต่มาระบมเอาทีหลัง แม่ยังได้รับยาแก้ปวดหลังอาหารทุกมื้อวันละ 2 เม็ดอยู่ และมียาละลายเสมหะ
พุธ 20 สิงหาคม 2551
เช้าแม่เดินเกาะแขนพี่นั่มและหนึมไปทานอาหารเช้าที่โต๊ะในห้องรับแขกเป็นหนแรก ไม่มึนศีรษะและไม่หายใจขัดด้วย เดินไปห้องน้ำได้เอง และพี่นั่มพาขึ้นรถเข็นไปข้างนอกห้องเป็นครั้งแรก ไหว้พระแม่มารีที่ชั้น 15 ที่แม่ได้ไหว้ครั้งหนึ่งขณะอยู่บนเตียงเข็นไปห้องผ่าตัด และลงไปชั้นล่างไหว้พระแม่มารีที่ล็อบบี้ ทั้ง 2 ที่นี้เราได้นำพวงมาลัยและดอกบัวมาไหว้ขอบพระคุณท่านที่ช่วยคุ้มครองแม่ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว
นั่งทานอาหารเที่ยงที่โต๊ะกับพี่นั่มและหนึม และคุณผู้ช่วยพยาบาล 2 คนมาช่วยสระผมให้แม่ เป่าผมอย่างดี แม่ให้หนึมหยิบ gift voucher ของเซ็นทรัลให้คนละ 600 บาท
แม่โทรหาป้าจู ส่วนป้าเล็กก็โทรมาขณะที่แม่เข้าห้องน้ำหนึมเลยรายงานอาการแทน ป้าเล็กฝากบอกแม่ว่าป้าเล็กสวดให้แม่ทุกวัน (ป้าเล็กเป็นคริสต์)
เอกเพื่อนหนึมและภรรยา เล็ก มาเยี่ยมแม่ตอนบ่าย อุตส่าห์ขับเข้ามาในเมืองทั้งที่ไม่ค่อยคุ้นทาง หอบเอานมตราหมีและรังนกมาให้แม่ อยู่ครู่เดียวกลับเพราะกลัวแม่เหนื่อย แม่คุยกับเขาแล้วถามไถ่ถึงลูก 2 คนของเขาที่เจ็บป่วยบ่อย แม่เลยเล่าว่าเลี้ยงดูหนึมก็ยากแต่ก็ต้องอดทน ให้เอกและเล็กอดทนด้วย
20.00 น คุณสุรสิทธิ์มาเยี่ยมแม่ ไม่รู้เบอร์ห้องและรถติดมากแต่ก็อุตส่าห์มา หิ้วกระเช้ามาให้และวางเข้าที่ให้เสร็จไม่รบกวนพวกเราเลย ถามไถ่อาการแม่และแม่พูดคุยย้อนยุคไปสมัยที่เดินสายไปพบ agent ด้วยกันกับแม่เมื่องยังอยู่ AIA และแม่ได้ตามคุณสุรสิทธิ์ไปวัดป่าสักการะเกจิอาจารย์หลายท่าน เช่น หลวงพ่อเกษม ที่ลำปาง หลวงปู่หลุย หลวงตามหาบัว และวัดหลวงปู่มั่น แกบอกว่าให้สวดมนต์บทพระปริต เป็นบทคุ้มครองให้ปลอดถัยหายเจ็บไข้ สวดให้แม่และคนในครอบครัวได้ผลจริงให้มีศรัทธา นอกจากนั้นแล้วก็ให้หมั่นปฏิบัติ บารมีคนนั้นเหมือนเอาหิน 2 ก้อนกระทบกันจนหนที่ 100 จึงจะติดไฟ หากหยุดเสียหนที่ 99 ก็ต้องเริ่มต้นกันใหม่ คุยสักครู่ก็กลับเพื่อให้แม่พักผ่อน และออกไปคุยกับพี่นุ่มต่อเรื่องของหมอที่รักษาแม่ คุณสุรสิทธิ์รู้จักคนเยอะเผื่อแนะนำได้ แถมแกยังถามว่าแม่ได้สิทธิพิเศษเรื่องค่าใช้จ่ายไหม ถ้าไม่ได้ให้บอกแกสามารถช่วยเหลือเรื่องสิทธิพิเศษได้
20.15 น คุณหมอวิชัยมา หมอทำงานดึกดื่นทุกวัน ท่านคงแทบไม่มีเวลาส่วนตัว แต่ละครั้งหมอก็ดูสดใสกระปรี้กระเปร่า เอาใจใส่เสมอแม้จะดึกดื่นก็ตาม หมอสั่งหยุดยาละลายเสมหะเมื่อทราบว่าแม่ไอแห้งๆเยอะเย็นนี้ สั่งยาแก้ไอแทน จะทำให้ท้องผูกบ้าง และให้แม่เริ่มออกกำลังกายแขนขวา โดยการอ้อมมือขวามาหลังศรีษะเพื่อจับติ่งหูซ้าย และให้เอามื่อทำปูไต่ขั้นลงกำแพง เพื่อออกกำลังแขน ไม่ให้ไหล่ยึด ให้ทำบ่อยๆ คุณหมอบอกว่าการปวดแผลจะปวดอยู่อีก 2 สัปดาห์ ก็ทานยาแก้ปวดไป แม่ยกมือไหว้ขอบคุณหมอเหมือนทุกที หนึมรีบมานั่งเขียนบันทึกนี้เพื่อไม่ลืมที่หมอสั่ง
แม่โทรหาป้าจู ส่วนป้าเล็กก็โทรมาขณะที่แม่เข้าห้องน้ำหนึมเลยรายงานอาการแทน ป้าเล็กฝากบอกแม่ว่าป้าเล็กสวดให้แม่ทุกวัน (ป้าเล็กเป็นคริสต์)
เอกเพื่อนหนึมและภรรยา เล็ก มาเยี่ยมแม่ตอนบ่าย อุตส่าห์ขับเข้ามาในเมืองทั้งที่ไม่ค่อยคุ้นทาง หอบเอานมตราหมีและรังนกมาให้แม่ อยู่ครู่เดียวกลับเพราะกลัวแม่เหนื่อย แม่คุยกับเขาแล้วถามไถ่ถึงลูก 2 คนของเขาที่เจ็บป่วยบ่อย แม่เลยเล่าว่าเลี้ยงดูหนึมก็ยากแต่ก็ต้องอดทน ให้เอกและเล็กอดทนด้วย
20.00 น คุณสุรสิทธิ์มาเยี่ยมแม่ ไม่รู้เบอร์ห้องและรถติดมากแต่ก็อุตส่าห์มา หิ้วกระเช้ามาให้และวางเข้าที่ให้เสร็จไม่รบกวนพวกเราเลย ถามไถ่อาการแม่และแม่พูดคุยย้อนยุคไปสมัยที่เดินสายไปพบ agent ด้วยกันกับแม่เมื่องยังอยู่ AIA และแม่ได้ตามคุณสุรสิทธิ์ไปวัดป่าสักการะเกจิอาจารย์หลายท่าน เช่น หลวงพ่อเกษม ที่ลำปาง หลวงปู่หลุย หลวงตามหาบัว และวัดหลวงปู่มั่น แกบอกว่าให้สวดมนต์บทพระปริต เป็นบทคุ้มครองให้ปลอดถัยหายเจ็บไข้ สวดให้แม่และคนในครอบครัวได้ผลจริงให้มีศรัทธา นอกจากนั้นแล้วก็ให้หมั่นปฏิบัติ บารมีคนนั้นเหมือนเอาหิน 2 ก้อนกระทบกันจนหนที่ 100 จึงจะติดไฟ หากหยุดเสียหนที่ 99 ก็ต้องเริ่มต้นกันใหม่ คุยสักครู่ก็กลับเพื่อให้แม่พักผ่อน และออกไปคุยกับพี่นุ่มต่อเรื่องของหมอที่รักษาแม่ คุณสุรสิทธิ์รู้จักคนเยอะเผื่อแนะนำได้ แถมแกยังถามว่าแม่ได้สิทธิพิเศษเรื่องค่าใช้จ่ายไหม ถ้าไม่ได้ให้บอกแกสามารถช่วยเหลือเรื่องสิทธิพิเศษได้
20.15 น คุณหมอวิชัยมา หมอทำงานดึกดื่นทุกวัน ท่านคงแทบไม่มีเวลาส่วนตัว แต่ละครั้งหมอก็ดูสดใสกระปรี้กระเปร่า เอาใจใส่เสมอแม้จะดึกดื่นก็ตาม หมอสั่งหยุดยาละลายเสมหะเมื่อทราบว่าแม่ไอแห้งๆเยอะเย็นนี้ สั่งยาแก้ไอแทน จะทำให้ท้องผูกบ้าง และให้แม่เริ่มออกกำลังกายแขนขวา โดยการอ้อมมือขวามาหลังศรีษะเพื่อจับติ่งหูซ้าย และให้เอามื่อทำปูไต่ขั้นลงกำแพง เพื่อออกกำลังแขน ไม่ให้ไหล่ยึด ให้ทำบ่อยๆ คุณหมอบอกว่าการปวดแผลจะปวดอยู่อีก 2 สัปดาห์ ก็ทานยาแก้ปวดไป แม่ยกมือไหว้ขอบคุณหมอเหมือนทุกที หนึมรีบมานั่งเขียนบันทึกนี้เพื่อไม่ลืมที่หมอสั่ง
บันทึกการรักษาโรคมะเร็งปอดของแม่ สิงหาคม 2008 ตอนที่ 4
อาทิตย์ 17 สิงหาคม 2551
เช้าวันเกิดหนึม หนึมตื่นขึ้นมาตอน 4.00 น จะมาหรี่แอร์ห้องที่พี่นุ่มและพี่นั่มนอน แต่พี่นั่มตื่นมาเห็นก็ร้องเพลง happy birthday เลย พี่นุ่มตื่นมาพี่นั่มก็ชวนร้องด้วยเลย หนึมดีใจมาก แล้วกลับไปนอนต่อ แต่พี่นั่มนอนไม่หลับเลยนั่งทำคอมพ์ พอ 5.00 น พี่นุ่มและพี่นั่มช่วยกันตื่นมาอุ่นอาหารที่ซื้อที่ตลาดนัดเมื่อวาน เพื่อใส่บาตรวันเกิดที่ 38 ปีของหนึมรวมใส่บาตรพระ 9 องค์ เสร็จแล้วลงไปที่หน้าโรงพยาบาลตอน 6.00 น ตามที่เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลบอกว่ามีพระมารับบาตรตอนเช้า เช้านี้มีคนรอใส่บาตรอยู่ 1 คนเขาบอกว่าพระที่มามีน้อยรูป หนีมได้ใส่บาตรที่นี่แค่ 1 รูป จึงตัดสินใจเอาอาหารใส่รถไปวัดอรุณกับพี่นุ่ม ส่วนพี่นั่มไปรอ ที่หน้าห้อง ccu เพื่อจะเข้าไปหาแม่ได้ตั้งแต่เวลาเปิดตอน 8.00 น
หนึมกับพี่นุ่มใส่บาตรที่หน้าวัดอรุณฯ พระให้พรหลายรูป และกลับเข้าไปที่บ้าน หยิบข้าวของ ดูแลสอง ให้อาหาร วางน้ำดื่ม และให้ขนม 1 ชิ้น สองทำท่าชอบใจที่ได้ขนมและทำหน้างงเมื่อหนึมและพี่นุ่มถอยรถออกไปอีกแต่เช้า
กลับมาที่โรงพยาบาล เข้าห้อง ccu พร้อมกัน ภาพที่พวกเราเห็นคือแม่นั่งอยู่บนเตียงในห้องccu มีสายระโยงระยางมากมาย แต่กำลังรับประทานซุปใส มีคุณพยาบาลดูแลอยู่ แม่หันมาเห็นหนึมและพูดเป็นสิ่งแรกว่า ใส่บาตรหรือยัง แม่ถามคุณพยาบาลให้แล้ว บอกว่ามีพระมารับบาตรที่หน้าโรงพยาบาล หนึมตื้นตันใจและซาบซึ้งในความมีเมตตาของแม่เป็นที่สุด ในเวลานี้ที่แม่ยังเจ็บปวดตัวเพิ่งฟื้นจากผ่าตัด แม่ยังห่วงหนึมมากกว่าห่วงตัวเอง แม่มีลูกอยู่ในใจเสมอ (เรื่องนี้เมื่อพูดถึงกันภายหลัง แม่บอกว่าจำไม่ได้ เข้าใจว่าขณะนั้นยังอยู่ในฤทธิ์ยาต่างๆไม่ได้รู้สึกตัวขนาดที่จะจำอะไรได้มาก)
พี่หมู สนั่น ลูกน้องเก่าแก่ที่ AIA ของแม่ หิ้วตะกร้ารังนกมาเยี่ยมแม่คนแรกเลย เข้าไปในห้อง ccu ด้วย พี่หมูคุยอยู่นาน และออกมาคุยให้กำลังใจพวกเราด้วย บอกว่าแม่ก็เป็นเหมือนแม่ของพี่หมูคนหนึ่ง จากนั้นไม่นานก็ได้ย้ายแม่ขึ้นมาชั้น 15 คุณอ้อมเดินตามมาติดอุปกรณ์ต่างๆให้ที่ห้องแม่ด้วย พยาบาลที่ชั้น 15 ติดเครื่อง suction ที่ติดกับตัวแม่ไม่เป็น พอเปิดเครื่องดูดมันทำให้แม่เจ็บมาก แม่ไม่ค่อยสบายใจ พยาบาลก็ถามกันไปมา ในที่สุดเขาไปตามคุณอ้อมมาอีกทีและมีคุณพยาบาลดูอาวุโสกว่าอีกคนจาก ccu มาช่วยจนเรียบร้อย แม่บอกเขาว่าอยากกลับลงไปอยู่กับเขาเพราะพวกเขาดูแลแม่ดีมาก
พอกลับห้องเรียบร้อยแล้ว คุณแม่น้องออ น้องออ จิต และฮั้วก็มาถึงเลย พร้อมด้วยกระเช้าผลไม้ให้แม่ และเครปเค้ก 4 ชิ้นให้หนึมทานในวันเกิดกับครอบครัว อยู่กันครู่หนึ่งก็กลับ เพราะพวกเราเองก็อยากอยู่ใกล้ชิดดูแลแม่ซึ่งปวดมากหลังจากขึ้นมาจาก ccu เพราะหมอให้หยุดยาแก้ปวดเข้าสายน้ำเกลือ เพื่อให้ร่างกายเริ่มทำงานตามปกติ แต่ให้ยาแก้ปวดมื้อละ 2 เม็ดหลังอาหาร
บ่ายๆพี่สา พี่กิ่งและหลานโอ๊คมาเยี่ยม แต่แม่เหนื่อยมากและปวดแผลมาก หลับไปแล้ว เลยปิดห้องนอนแม่ และให้พี่ๆและโอ๊คนั่งคุยกับพวกเราแทน พี่กิ่งก็บอกว่าเยี่ยมคนเฝ้าไข้น่ะแหละ เพราะอยากให้กำลังใจ และสอนท่าชี่กง ยืนกางขาเล็กน้อย จิกปลายเท้า ขมิบก้นและหน้าท้อง เหยียดแขนไปข้างหน้าและแกว่งกดลงซ้ำ พี่กิ่งบอกว่าพวกเราต้องทำร่างกายให้แข็งแรงเพื่อดูแลแม่
เช้าวันเกิดหนึม หนึมตื่นขึ้นมาตอน 4.00 น จะมาหรี่แอร์ห้องที่พี่นุ่มและพี่นั่มนอน แต่พี่นั่มตื่นมาเห็นก็ร้องเพลง happy birthday เลย พี่นุ่มตื่นมาพี่นั่มก็ชวนร้องด้วยเลย หนึมดีใจมาก แล้วกลับไปนอนต่อ แต่พี่นั่มนอนไม่หลับเลยนั่งทำคอมพ์ พอ 5.00 น พี่นุ่มและพี่นั่มช่วยกันตื่นมาอุ่นอาหารที่ซื้อที่ตลาดนัดเมื่อวาน เพื่อใส่บาตรวันเกิดที่ 38 ปีของหนึมรวมใส่บาตรพระ 9 องค์ เสร็จแล้วลงไปที่หน้าโรงพยาบาลตอน 6.00 น ตามที่เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลบอกว่ามีพระมารับบาตรตอนเช้า เช้านี้มีคนรอใส่บาตรอยู่ 1 คนเขาบอกว่าพระที่มามีน้อยรูป หนีมได้ใส่บาตรที่นี่แค่ 1 รูป จึงตัดสินใจเอาอาหารใส่รถไปวัดอรุณกับพี่นุ่ม ส่วนพี่นั่มไปรอ ที่หน้าห้อง ccu เพื่อจะเข้าไปหาแม่ได้ตั้งแต่เวลาเปิดตอน 8.00 น
หนึมกับพี่นุ่มใส่บาตรที่หน้าวัดอรุณฯ พระให้พรหลายรูป และกลับเข้าไปที่บ้าน หยิบข้าวของ ดูแลสอง ให้อาหาร วางน้ำดื่ม และให้ขนม 1 ชิ้น สองทำท่าชอบใจที่ได้ขนมและทำหน้างงเมื่อหนึมและพี่นุ่มถอยรถออกไปอีกแต่เช้า
กลับมาที่โรงพยาบาล เข้าห้อง ccu พร้อมกัน ภาพที่พวกเราเห็นคือแม่นั่งอยู่บนเตียงในห้องccu มีสายระโยงระยางมากมาย แต่กำลังรับประทานซุปใส มีคุณพยาบาลดูแลอยู่ แม่หันมาเห็นหนึมและพูดเป็นสิ่งแรกว่า ใส่บาตรหรือยัง แม่ถามคุณพยาบาลให้แล้ว บอกว่ามีพระมารับบาตรที่หน้าโรงพยาบาล หนึมตื้นตันใจและซาบซึ้งในความมีเมตตาของแม่เป็นที่สุด ในเวลานี้ที่แม่ยังเจ็บปวดตัวเพิ่งฟื้นจากผ่าตัด แม่ยังห่วงหนึมมากกว่าห่วงตัวเอง แม่มีลูกอยู่ในใจเสมอ (เรื่องนี้เมื่อพูดถึงกันภายหลัง แม่บอกว่าจำไม่ได้ เข้าใจว่าขณะนั้นยังอยู่ในฤทธิ์ยาต่างๆไม่ได้รู้สึกตัวขนาดที่จะจำอะไรได้มาก)
พี่หมู สนั่น ลูกน้องเก่าแก่ที่ AIA ของแม่ หิ้วตะกร้ารังนกมาเยี่ยมแม่คนแรกเลย เข้าไปในห้อง ccu ด้วย พี่หมูคุยอยู่นาน และออกมาคุยให้กำลังใจพวกเราด้วย บอกว่าแม่ก็เป็นเหมือนแม่ของพี่หมูคนหนึ่ง จากนั้นไม่นานก็ได้ย้ายแม่ขึ้นมาชั้น 15 คุณอ้อมเดินตามมาติดอุปกรณ์ต่างๆให้ที่ห้องแม่ด้วย พยาบาลที่ชั้น 15 ติดเครื่อง suction ที่ติดกับตัวแม่ไม่เป็น พอเปิดเครื่องดูดมันทำให้แม่เจ็บมาก แม่ไม่ค่อยสบายใจ พยาบาลก็ถามกันไปมา ในที่สุดเขาไปตามคุณอ้อมมาอีกทีและมีคุณพยาบาลดูอาวุโสกว่าอีกคนจาก ccu มาช่วยจนเรียบร้อย แม่บอกเขาว่าอยากกลับลงไปอยู่กับเขาเพราะพวกเขาดูแลแม่ดีมาก
พอกลับห้องเรียบร้อยแล้ว คุณแม่น้องออ น้องออ จิต และฮั้วก็มาถึงเลย พร้อมด้วยกระเช้าผลไม้ให้แม่ และเครปเค้ก 4 ชิ้นให้หนึมทานในวันเกิดกับครอบครัว อยู่กันครู่หนึ่งก็กลับ เพราะพวกเราเองก็อยากอยู่ใกล้ชิดดูแลแม่ซึ่งปวดมากหลังจากขึ้นมาจาก ccu เพราะหมอให้หยุดยาแก้ปวดเข้าสายน้ำเกลือ เพื่อให้ร่างกายเริ่มทำงานตามปกติ แต่ให้ยาแก้ปวดมื้อละ 2 เม็ดหลังอาหาร
บ่ายๆพี่สา พี่กิ่งและหลานโอ๊คมาเยี่ยม แต่แม่เหนื่อยมากและปวดแผลมาก หลับไปแล้ว เลยปิดห้องนอนแม่ และให้พี่ๆและโอ๊คนั่งคุยกับพวกเราแทน พี่กิ่งก็บอกว่าเยี่ยมคนเฝ้าไข้น่ะแหละ เพราะอยากให้กำลังใจ และสอนท่าชี่กง ยืนกางขาเล็กน้อย จิกปลายเท้า ขมิบก้นและหน้าท้อง เหยียดแขนไปข้างหน้าและแกว่งกดลงซ้ำ พี่กิ่งบอกว่าพวกเราต้องทำร่างกายให้แข็งแรงเพื่อดูแลแม่
บันทึกการรักษาโรคมะเร็งปอดของแม่ สิงหาคม 2008 ตอนที่ 3
เสาร์ 16 สิงหาคม 2551
พี่นั่มมาถึงก่อนพี่นุ่มและหนึมจะตื่นเสียอีก แม่ตื่นเต้นและเงียบมาก คุณพยาบาลและผู้ช่วยมาอาบน้ำแม่ พยาบาลเอายานอนหลับมาให้แม่ทาน โชคดีคุณผู้ช่วยบอกว่าอย่างเพิ่งทานก่อนอาบน้ำ เดียวมึนศีรษะระหว่างอาบ เพราะสักครู่คุณพยาบาลวิ่งกลับมาบอกว่าหมอให้ไปทานยานอนหลับในห้องผ่าเลย แม่เลยกังวล เขาเปลี่ยนให้แม่ใส่ชุดสีเขียวสำหรับเข้าห้องผ่าตัดเลย เมื่อเลยเวลา 7.00 น ซึ่งเป็นเวลานัดลงไปห้องผ่าตัดก็ยังไม่มีใครมา แม่ใจหิ้ว จน 7.15 น. ผู้ชายในชุดสีเขียวก็เข็นเตียงมารับแม่ เขาหาที่ปีนขึ้นเตียงไม่เจอ แม่เลยเหยียบบนเก้าอี้โซฟาเกาะแขนพี่นั่มขึ้นเตียงเอง มีคุณพยาบาลจากที่ชั้น 15 ลงไปกับแม่ด้วย พวกเราตามไปส่งแม่ถึงชั้น 5 หน้าห้องผ่า พวกเราทุกคนผลัดกันจับมือแม่ และบอกแม่ว่าสู้ๆ และเราจะรอแม่จนแม่ออกมาอีกครั้ง
พี่นั่มมาถึงก่อนพี่นุ่มและหนึมจะตื่นเสียอีก แม่ตื่นเต้นและเงียบมาก คุณพยาบาลและผู้ช่วยมาอาบน้ำแม่ พยาบาลเอายานอนหลับมาให้แม่ทาน โชคดีคุณผู้ช่วยบอกว่าอย่างเพิ่งทานก่อนอาบน้ำ เดียวมึนศีรษะระหว่างอาบ เพราะสักครู่คุณพยาบาลวิ่งกลับมาบอกว่าหมอให้ไปทานยานอนหลับในห้องผ่าเลย แม่เลยกังวล เขาเปลี่ยนให้แม่ใส่ชุดสีเขียวสำหรับเข้าห้องผ่าตัดเลย เมื่อเลยเวลา 7.00 น ซึ่งเป็นเวลานัดลงไปห้องผ่าตัดก็ยังไม่มีใครมา แม่ใจหิ้ว จน 7.15 น. ผู้ชายในชุดสีเขียวก็เข็นเตียงมารับแม่ เขาหาที่ปีนขึ้นเตียงไม่เจอ แม่เลยเหยียบบนเก้าอี้โซฟาเกาะแขนพี่นั่มขึ้นเตียงเอง มีคุณพยาบาลจากที่ชั้น 15 ลงไปกับแม่ด้วย พวกเราตามไปส่งแม่ถึงชั้น 5 หน้าห้องผ่า พวกเราทุกคนผลัดกันจับมือแม่ และบอกแม่ว่าสู้ๆ และเราจะรอแม่จนแม่ออกมาอีกครั้ง
มีเด็กผู้ชายอยู่ในห้องรอหน้าห้องผ่าตัด เปิดทีวีเสียงดัง พวกเราจึงเลือกนั่งที่เก้าอี้ข้างหน้าสีเทาแทน พอเด็กคนนั้นไปแล้วคุณพยาบาลที่เดินผ่านก็เปิดไฟในห้องและให้เราเข้าไปรอในนั้น พี่นั่มเอา Mac ออกมาใช้ พี่นุ่มเดินไปมา ดูทีวีบ้าง และหนึมเดินจงกรมสลับกับไปดูทีวี หน้าห้องมีรูปปั้นพระแม่มารียืนเหยียบงู ใบหน้าของท่านดูสงบและอ่อนโยน หนึมดีใจที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้พึ่งพิงในสถานที่ที่เราต้องการที่พึ่งทางใจที่สุด
พี่นั่มจับเวลาตั้งแต่แม่เข้าห้องผ่าตัด และคอยบอกพวกเราเมื่อผ่านไปแต่ละชั่วโมง ข้างนอกหนาวมาก ในชั่วโมงที่ 3 ของการผ่าตัด พวกเราผลักเวรกันออกมาเดินนอกห้องคอยดูว่าเมื่อไหร่แม่จะออกมา
หนึมคอยเดินไปส่องผ่านรอยต่อของฟิล์มฝ้าที่ติดกระจกประตูห้องผ่าตัด ซึ่งเป็นประตู 2 ชั้น เพื่อมองเข้าไปข้างในว่ามีอะไรเกิดขึ้น และแม่จะออกมาหรือยัง
เวลาผ่านไปแล้วคุณหมอก็ออกมาก่อน บอกพวกเราว่าตัดมะเร็งออกไปหมดแล้ว เอาปอดออกไป 2 กลีบ เอาต่อมน้ำเหลืองออกไปด้วย ส่งต่อมน้ำเหลืองตรวจ จะรู้ผลอีก 2 วัน ว่าที่ต่อมน้ำเหลืองมีมะเร็งและมีการลามหรือเปล่า พวกเรา 3 คนขอบคุณหมอและดีใจมากที่แม่ปลอดภัย
แม่ออกมาจากห้องผ่าตัดตอน 11.00 น กว่าๆ คุณพยาบาลชุดเขียวของห้องผ่าตัดมีอายุหน่อยและใส่แว่นพาแม่ออกมา บนเตียง บอกว่าหมอให้แม่รู้สึกตัวแล้ว แม่มีสายระโยงระยางมาก และขมวดคิ้วด้วยความปวด มีหน้ากากอ็อกซิเย็นครอบ และแม่ร้องคราง หนึมสงสารแม่มาก เขาเข็นแม่ขึ้นลิฟท์ไปห้อง ccu พวกเราต้องลงลิฟท์ไปก่อนแล้วไปขึ้นลิฟท์อีกตัวเพื่อไปชั้น ccu ระหว่างนั้นอาอ้ายโทรเข้ามือถือพี่นุ่ม บอกว่ามาถึงแล้ว และจะมาอยู่เป็นเพื่อนพวกเรา พอดีอาอ้ายติดพบหมอของตัวเองเลยมาตอนเช้าไม่ได้
ไปถึงห้อง CCU แม่ได้ห้องตรงกับหน้า counter พยาบาลพอดี พวกเราอุ่นใจ รีบล้างมือเปลี่บนรองเท้าเขาไปอยู่กับแม่ แม่ยังไม่รู้สึกตัว พวกเราเลยมานั่งคุยกับอาอ้าย อาอ้ายเป็นหวัดเลยจะไม่เข้าไปเยี่ยมแม่ อาอ้ายอยู่กับพวกเรานานทีเดียว ตอนจะกลับบอกว่าหายแล้วจะมาเยี่ยมแม่ใหม่ หนึมดีใจมากที่อาอ้ายมาในเวลานี้ สำหรับหนึมแล้ว อาอ้ายเป็นเสมือนคนในครอบครัวและหนึมมีความทรงจำดีๆเกี่ยวกับอาอ้ายตั้งแต่เด็กมา พวกเราคอยสลับกันเข้าไปดูแม่จนในที่สุดคุณพยาบาลบอกว่าแม่รู้สึกตัวและถามหาพวกเรา แม่ดูสดใสขึ้นมาก มีคุณพยาบาลชื่ออ้อมดูแลแม่ดีมากๆ ที่นี้ผู้ป่วย 1 คนมีพยาบาลดูแลเลย 1 คน
บ่ายพี่นุ่ม พี่นั่ม และหนึม ไปทานข้าวกันที่ s&p พี่นุ่มช่วยซื้อข้าวเหนียวเครื่องเพื่อเป็นของหวานให้หนึมใส่บาตรวันเกิดพรุ่งนี้ หนึมซื้อข้าวเหนียวหมู 9 ชุด เป็นข้าวเหนียวหมู ซึ่งคนขายแถมให้ด้วย และได้ข้าวเหนียว 9 ห่อสุดท้ายพอดี บ่ายๆพี่นุ่มและพี่นั่มเฝ้าหน้าห้อง ccu และให้หนึมกลับมานอนที่ชั้น 15 หนึมสวดมนต์และเดินจงกรมแผ่เมตตาให้แม่และเจ้ากรรมนายเวรของแม่ พวกเราเข้าไปเยี่ยมแม่ครั้งละสั้นๆแต่บ่อยๆ และพวกเรา 3 คนนอนค้างที่โรงพยาบาล พี่นุ่มนอนที่โซฟา พี่นั่มนอนบนเก้าอี้ lazy boy ในห้องรับแขก หนึมนอนที่โซฟาในห้องนอนแม่ที่ชั้น 15
บันทึกการรักษาโรคมะเร็งปอดของแม่ สิงหาคม 2008 ตอนที่ 2
ศุกร์ 15 สิงหาคม 2551
เช้าวันศุกร์ทุกคนตื่นแต่เช้าตรู่ หนึมขนกระเป๋าของทุกคนขึ้นท้ายรถสีม่วงของพี่นุ่ม แล้วก็ล่ามเจ้าสองก่อนที่พี่นั่มจะถอยรถออก พอปิดประตูแล้วก็ปล่อยเจ้าสอง รีบมากจนลืมกระเป๋าของตัวเอง ไปโรงพยาบาลโดยไม่มีเงินไม่มีมือถือติดตัว ถึงโรงพยาบาลพี่นุ่มและแม่ลงไปติดต่อเรื่องห้อง ขึ้นมาเข้าห้องที่ชั้น 15 ซึ่งเป็นหอผู้ป่วยศัลยกรรม ได้ห้อง 1513 แม่บอกว่า “แหมได้เลขดี” หนึมถามว่าแม่กังวลไหม แม่บอกว่าหนึมก็รู้จักแม่ดี ว่าทุกอย่างอยู่ที่ใจ แต่หนึมว่าแม่คงมีใจเสียบ้าง แต่แป๊บเดียวพี่นุ่มและพี่นั่มก็เดินเข้ามาบอกว่าทำการขอห้องชุดให้แล้ว จะใหญ่กว่ามาก แต่จะย้ายเข้าได้บ่ายๆ แม่ยิ้มออก เจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจคลื่นหัวใจแม่ พี่นั่มเดินดูสถานที่แล้วเข้ามาเล่าว่าที่กระดานมีผู้ป่วยเขียนชมพยาบาลชั้นนี้เต็มไปหมด พวกเราดูอุ่นใจขึ้นกับโรงพยาบาลนี้ เพราะไม่เคยมีใครในบ้านมา admit ที่นี่มาก่อนเลย
หมอมาแต่เช้า 7 โมงกว่า ตรวจร่างกายแม่ และดูวิวห้องพัก บอกว่ามองไม่เห็น3 สะพาน หมอดูอารมณ์ดี สร้างความมั่นใจในการรักษาและไม่ให้กังวล พยาบาลเข้ามาเจาะเลือดและทิ้งเข็มไว้ที่มือซ้ายของแม่ พี่นั่มถ่ายรูปพวกเราไว้ทั้ง 4 คน ให้แม่ชูนิ้ว 2 นิ้วรูป victory และพูดว่า “สู้โว้ย” แบบน้องพรนักกีฬายกย้ำหนักโอลิมปิค
หนึมและพี่นุ่มถามคุณพยาบาลถึงห้องผ่าตัดและห้อง ccu ที่แม่ต้องไปนอนพักฟื้น 1-2 วัน แล้วเรา 2 คนก็ไปสำรวจห้องทั้ง 2 และกลับมาเล่าให้แม่ฟัง ให้แม่รู้ว่าระหว่างที่แม่ผ่าตัดเราจะอยู่ในห้องรอหน้าห้องผ่าตัดที่มีโซฟาและโทรทัศน์ที่ชั้น 4 ต้องลงลิฟท์ตัวขวามือของตึกลงไป ห้องผ่าตัดเป็นประตูกระจกติดฝ้ามองไม่เห็นข้างใน ไม่เหมือนที่โรงพยาบาลจุฬาฯที่เรามองเห็นพี่นุ่มแม้แต่ตอนที่เข็นเข้าไปนอนรอเข้าห้องผ่าจริงๆ และเมื่อแม่ฟื้นและย้ายไปห้อง ccu ชั้น 6 พวกเราจะรอในห้องรอหน้าห้อง ccu ส่งใจให้แม่ผ่าตัดโดยปลอดภัย
ได้ย้ายห้องไปห้อง 1507 ตอนเกือบๆ 17.00 น อยู่ปลายสุดของตึกใหญ่โตกว้างขวางมี 2 ห้องน้ำ มีที่ให้เรา 3 คนมานอนเฝ้าไข้ได้ตามที่แม่ต้องการโดยไม่อึดอัด หมอเลื่อนเวลาผ่าขึ้นมาเป็น 8.00 น ของวันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม คุณผู้ช่วยพยาบาลเข้ามา shave ที่รักแร้และหน้าอกแม่ และสวนทวารตอนเย็น แม่ให้หนึมเก็บกล่องน้ำยาสวนทวารไว้ไปซื้อเองบ้าง เพราะใช้ง่ายดี เจ้าหน้าที่ของที่นี่เป็นมิตร อารมณ์ดี และเอาใจใส่อย่างดีสมกับคำชม
พี่นุ่มซื้อดอกไม้ 1 แจกันมาให้แม่จากพวกเรา เป็นกำลังใจให้แม่ คุณจ๊อดเป็นคนแรกที่มาเยี่ยมก่อนผ่าตัดเสียอีก พร้อมด้วยแจกันดอกไม้จากคุณจ๊อดและคุณตั้ง คุณจ๊อดเคยรักษาตัวที่ห้องนี้ พี่นุ่ม แม่และเรายังมาเยี่ยมเลย แม่เอากุหลาบจามุนจากร้านอาหารแขกมาเยี่ยมคุณจ๊อดด้วยตอนนั้น คุณจ๊อดบอกแม่ว่าพยาบาลที่นี่ดูแลดีมาก และเล่าเรื่องการเข้าห้องผ่าตัดและความง่ายดายของการดมยา น่าจะช่วยให้แม่ผ่อนคลายความกังวลลงได้
พี่นุ่มกับหนึมนอนที่โรงพยาบาลเป็นเพื่อนแม่ พี่นุ่มนอนห้องรับแขก หนึมนอนโซฟาข้างเตียงแม่ พี่นั่มกลับบ้านไปดูแลสองและกลับและตื่นแต่ตี 4 ของวันเสาร์มาที่โรงพยาบาล
เช้าวันศุกร์ทุกคนตื่นแต่เช้าตรู่ หนึมขนกระเป๋าของทุกคนขึ้นท้ายรถสีม่วงของพี่นุ่ม แล้วก็ล่ามเจ้าสองก่อนที่พี่นั่มจะถอยรถออก พอปิดประตูแล้วก็ปล่อยเจ้าสอง รีบมากจนลืมกระเป๋าของตัวเอง ไปโรงพยาบาลโดยไม่มีเงินไม่มีมือถือติดตัว ถึงโรงพยาบาลพี่นุ่มและแม่ลงไปติดต่อเรื่องห้อง ขึ้นมาเข้าห้องที่ชั้น 15 ซึ่งเป็นหอผู้ป่วยศัลยกรรม ได้ห้อง 1513 แม่บอกว่า “แหมได้เลขดี” หนึมถามว่าแม่กังวลไหม แม่บอกว่าหนึมก็รู้จักแม่ดี ว่าทุกอย่างอยู่ที่ใจ แต่หนึมว่าแม่คงมีใจเสียบ้าง แต่แป๊บเดียวพี่นุ่มและพี่นั่มก็เดินเข้ามาบอกว่าทำการขอห้องชุดให้แล้ว จะใหญ่กว่ามาก แต่จะย้ายเข้าได้บ่ายๆ แม่ยิ้มออก เจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจคลื่นหัวใจแม่ พี่นั่มเดินดูสถานที่แล้วเข้ามาเล่าว่าที่กระดานมีผู้ป่วยเขียนชมพยาบาลชั้นนี้เต็มไปหมด พวกเราดูอุ่นใจขึ้นกับโรงพยาบาลนี้ เพราะไม่เคยมีใครในบ้านมา admit ที่นี่มาก่อนเลย
หมอมาแต่เช้า 7 โมงกว่า ตรวจร่างกายแม่ และดูวิวห้องพัก บอกว่ามองไม่เห็น3 สะพาน หมอดูอารมณ์ดี สร้างความมั่นใจในการรักษาและไม่ให้กังวล พยาบาลเข้ามาเจาะเลือดและทิ้งเข็มไว้ที่มือซ้ายของแม่ พี่นั่มถ่ายรูปพวกเราไว้ทั้ง 4 คน ให้แม่ชูนิ้ว 2 นิ้วรูป victory และพูดว่า “สู้โว้ย” แบบน้องพรนักกีฬายกย้ำหนักโอลิมปิค
หนึมและพี่นุ่มถามคุณพยาบาลถึงห้องผ่าตัดและห้อง ccu ที่แม่ต้องไปนอนพักฟื้น 1-2 วัน แล้วเรา 2 คนก็ไปสำรวจห้องทั้ง 2 และกลับมาเล่าให้แม่ฟัง ให้แม่รู้ว่าระหว่างที่แม่ผ่าตัดเราจะอยู่ในห้องรอหน้าห้องผ่าตัดที่มีโซฟาและโทรทัศน์ที่ชั้น 4 ต้องลงลิฟท์ตัวขวามือของตึกลงไป ห้องผ่าตัดเป็นประตูกระจกติดฝ้ามองไม่เห็นข้างใน ไม่เหมือนที่โรงพยาบาลจุฬาฯที่เรามองเห็นพี่นุ่มแม้แต่ตอนที่เข็นเข้าไปนอนรอเข้าห้องผ่าจริงๆ และเมื่อแม่ฟื้นและย้ายไปห้อง ccu ชั้น 6 พวกเราจะรอในห้องรอหน้าห้อง ccu ส่งใจให้แม่ผ่าตัดโดยปลอดภัย
ได้ย้ายห้องไปห้อง 1507 ตอนเกือบๆ 17.00 น อยู่ปลายสุดของตึกใหญ่โตกว้างขวางมี 2 ห้องน้ำ มีที่ให้เรา 3 คนมานอนเฝ้าไข้ได้ตามที่แม่ต้องการโดยไม่อึดอัด หมอเลื่อนเวลาผ่าขึ้นมาเป็น 8.00 น ของวันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม คุณผู้ช่วยพยาบาลเข้ามา shave ที่รักแร้และหน้าอกแม่ และสวนทวารตอนเย็น แม่ให้หนึมเก็บกล่องน้ำยาสวนทวารไว้ไปซื้อเองบ้าง เพราะใช้ง่ายดี เจ้าหน้าที่ของที่นี่เป็นมิตร อารมณ์ดี และเอาใจใส่อย่างดีสมกับคำชม
พี่นุ่มซื้อดอกไม้ 1 แจกันมาให้แม่จากพวกเรา เป็นกำลังใจให้แม่ คุณจ๊อดเป็นคนแรกที่มาเยี่ยมก่อนผ่าตัดเสียอีก พร้อมด้วยแจกันดอกไม้จากคุณจ๊อดและคุณตั้ง คุณจ๊อดเคยรักษาตัวที่ห้องนี้ พี่นุ่ม แม่และเรายังมาเยี่ยมเลย แม่เอากุหลาบจามุนจากร้านอาหารแขกมาเยี่ยมคุณจ๊อดด้วยตอนนั้น คุณจ๊อดบอกแม่ว่าพยาบาลที่นี่ดูแลดีมาก และเล่าเรื่องการเข้าห้องผ่าตัดและความง่ายดายของการดมยา น่าจะช่วยให้แม่ผ่อนคลายความกังวลลงได้
พี่นุ่มกับหนึมนอนที่โรงพยาบาลเป็นเพื่อนแม่ พี่นุ่มนอนห้องรับแขก หนึมนอนโซฟาข้างเตียงแม่ พี่นั่มกลับบ้านไปดูแลสองและกลับและตื่นแต่ตี 4 ของวันเสาร์มาที่โรงพยาบาล
บันทึกการรักษาโรคมะเร็งปอดของแม่ สิงหาคม 2008 ตอนที่ 1
จันทร์ 11 สิงหาคม 2551
หลังจากหมอเกษมที่บำรุงราษฎร์วินิจฉัยและแจ้งผลว่าแม่เป็นมะเร็งปอด แม่หยุดสูบบุหรี่ทันที ทั้งที่ตลอดชีวิตมามีหนึมอยู่คนเดียว ที่พร่ำขอให้แม่เลิกสูบบุหรี่ โดยแม่บอกว่าแม่อายุมากแล้ว อีกไม่นานก็ตาย ขอตายอย่างมีความสุข ตอนนี้แม่หยุดบุหรี่ทันที ไม่มีทีท่าโหยหาอะไร
พี่นุ่ม พี่นั่ม และหนึมพาแม่ไปพบหมอวิชัย ที่คลินิคนอกเวลา ตึกภปร ชั้น 13 โรงพยาบาลจุฬา โดยมีคุณหมอมาวินกรุณาโทรติดต่อคุณพยาบาลและจองเวลานัดให้ก่อนแล้ว ไปถึงกันก่อนเวลานัดมากประมาณ 16.30 น. ของวันจันทร์ที่ 11 สิงหาคม 2008 ยังไม่ค่อยมีผู้คนเลย เจอคุณพยาบาลเข้าคนหนึ่งปรากฏว่าเป็นคุณนันที่คุณหมอมาวินติดต่อให้พอดี คุณนันจัดการให้กรอกทำบัตรผู้ป่วยใหม่ บัตรเก่าของแม่เขาทิ้งประวัติไปนานแล้ว คุณนันคว้ามือเจ้าหน้าที่ผู้ชายคนหนึ่งไว้ ขอเงินจากพี่นั่มมา 20 บาทใส่มือผู้ชายคนนั้น และส่งใบสมัครทำบัตรผู้ป่วยให้เขาลงไปทำให้แม่ สักครู่หนึ่งเขาก็กลับขึ้นมาพร้อมบัตรผู้ป่วย คุณนันสั่งให้เรารีบไปยื่นบัตรที่แผนกศัลยกรรมคลินิคนอกเวลาที่ชั้น 6
พวกเรารีบหอบข้าวของผลจรวจและเสบียงไปยื่นบัตร ถึงกระนั้นก็ได้คิวเป็นรายที่ 6 มีคนมาหาหมอวิชัยกันมากทีเดียว คุณพยาบาลร่างใหญ่เป็นคนจัดคิว และคอยบอกทุกคนว่าหมอเข้าช้าหน่อยนะ และยิ้มให้ทุกครั้ง หมอมาตอน 18.00 น และตรวจผู้ป่วยก่อนหน้าแม่ไปอย่างรวดเร็ว ส่วนใหญ่เป็นเรื่องติดตามอาการ
พวกเรา 3 คน พี่นุ่ม พี่นั่ม หนึม เข้าไปในห้องตรวจพร้อมกับแม่ มีพี่นุ่มคอยจดและช่วยถาม พี่นั่มและหนึมคอยช่วยหยิบผลตรวจต่างๆให้คุณหมอดู หมอเป็นคนจีนวัยน่าจะราวๆ 50 ปี รูปร่างไม่อ้วนไม่ผอม ใส่แว่น ดูมีเมตตาและตรงไปตรงมากระชับ ดูผลต่างๆด้วยความแคล่วคล่องและบอกว่าต้องผ่าออกมาดูทั้งก้อนเนื้อและต่อมน้ำเหลืองที่มีการโตกว่าปกติด้วย ถึงจะรู้ว่าเป็นมะเร็งขั้นไหน หมอเร่งให้ผ่า ขณะที่เตียงที่โรงพยาบาลจุฬาฯกว่าจะว่างอีก 2 สัปดาห์ หมอบอกว่าหมอสามารถให้ไปผ่าที่ รพ เซ็นต์หลุยส์ได้ หมอเองเข้าอีกที่ก็ที่บำรุงราษฎร์แต่เข้าวันอาทิตย์บ่ายวันเดียว พวกเราเลือกที่เซ็นต์หลุยส์ หมอรีบโทรจองห้องผ่าตัดให้เลย และเขียนจดหมายส่งตัวแม่ให้ทันที นัดผ่าเสาร์ที่ 16 สิงหาคม ก่อนวันเกิดหนึม 1 วัน แต่ให้เข้าไปเตรียมตัวตั้งแต่วันศุกร์ที่ 15 สิงหาคม 2551
หลังจากนั้น แม่เอาของขวัญวันเกิดใส่กระเป๋าเดินทางแบบเป้สีแดงดำ มอบให้หนึม จะให้หนึมเปิดของขวัญวันเกิดเดี๋ยวนี้เลย หนึมรู้ดีว่าแม่กังวลว่าอาจจะไม่ได้อยู่ถึงวันเกิดหนึมหากการผ่าตัดไม่ประสบผลสำเร็จ หนึมบอกแม่ว่า แม่จะออกจากห้องผ่าตัดมาดูหนึมเปิดของขวัญด้วยกัน หนึมจะเอาของที่แม่ให้ไปเปิดในวันเกิดที่โรงพยาบาล
กลางคืนก่อนนอน แม่จับมือหนึม และบอกว่า “จำไว้นะลูกว่าแม่รักลูก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นลูกต้องเข้มแข็งและอยู่ได้นะ” หนึมตอบแม่ว่าแม่ไม่ต้องห่วงอะไรเลย หนึมรักแม่ที่สุดในชีวิต และดีใจที่ได้เกิดเป็นลูกของแม่ และพวกเราทุกคนจะเป็นกำลังใจให้แม่รักษาตัวให้หายดี
หลังจากหมอเกษมที่บำรุงราษฎร์วินิจฉัยและแจ้งผลว่าแม่เป็นมะเร็งปอด แม่หยุดสูบบุหรี่ทันที ทั้งที่ตลอดชีวิตมามีหนึมอยู่คนเดียว ที่พร่ำขอให้แม่เลิกสูบบุหรี่ โดยแม่บอกว่าแม่อายุมากแล้ว อีกไม่นานก็ตาย ขอตายอย่างมีความสุข ตอนนี้แม่หยุดบุหรี่ทันที ไม่มีทีท่าโหยหาอะไร
พี่นุ่ม พี่นั่ม และหนึมพาแม่ไปพบหมอวิชัย ที่คลินิคนอกเวลา ตึกภปร ชั้น 13 โรงพยาบาลจุฬา โดยมีคุณหมอมาวินกรุณาโทรติดต่อคุณพยาบาลและจองเวลานัดให้ก่อนแล้ว ไปถึงกันก่อนเวลานัดมากประมาณ 16.30 น. ของวันจันทร์ที่ 11 สิงหาคม 2008 ยังไม่ค่อยมีผู้คนเลย เจอคุณพยาบาลเข้าคนหนึ่งปรากฏว่าเป็นคุณนันที่คุณหมอมาวินติดต่อให้พอดี คุณนันจัดการให้กรอกทำบัตรผู้ป่วยใหม่ บัตรเก่าของแม่เขาทิ้งประวัติไปนานแล้ว คุณนันคว้ามือเจ้าหน้าที่ผู้ชายคนหนึ่งไว้ ขอเงินจากพี่นั่มมา 20 บาทใส่มือผู้ชายคนนั้น และส่งใบสมัครทำบัตรผู้ป่วยให้เขาลงไปทำให้แม่ สักครู่หนึ่งเขาก็กลับขึ้นมาพร้อมบัตรผู้ป่วย คุณนันสั่งให้เรารีบไปยื่นบัตรที่แผนกศัลยกรรมคลินิคนอกเวลาที่ชั้น 6
พวกเรารีบหอบข้าวของผลจรวจและเสบียงไปยื่นบัตร ถึงกระนั้นก็ได้คิวเป็นรายที่ 6 มีคนมาหาหมอวิชัยกันมากทีเดียว คุณพยาบาลร่างใหญ่เป็นคนจัดคิว และคอยบอกทุกคนว่าหมอเข้าช้าหน่อยนะ และยิ้มให้ทุกครั้ง หมอมาตอน 18.00 น และตรวจผู้ป่วยก่อนหน้าแม่ไปอย่างรวดเร็ว ส่วนใหญ่เป็นเรื่องติดตามอาการ
พวกเรา 3 คน พี่นุ่ม พี่นั่ม หนึม เข้าไปในห้องตรวจพร้อมกับแม่ มีพี่นุ่มคอยจดและช่วยถาม พี่นั่มและหนึมคอยช่วยหยิบผลตรวจต่างๆให้คุณหมอดู หมอเป็นคนจีนวัยน่าจะราวๆ 50 ปี รูปร่างไม่อ้วนไม่ผอม ใส่แว่น ดูมีเมตตาและตรงไปตรงมากระชับ ดูผลต่างๆด้วยความแคล่วคล่องและบอกว่าต้องผ่าออกมาดูทั้งก้อนเนื้อและต่อมน้ำเหลืองที่มีการโตกว่าปกติด้วย ถึงจะรู้ว่าเป็นมะเร็งขั้นไหน หมอเร่งให้ผ่า ขณะที่เตียงที่โรงพยาบาลจุฬาฯกว่าจะว่างอีก 2 สัปดาห์ หมอบอกว่าหมอสามารถให้ไปผ่าที่ รพ เซ็นต์หลุยส์ได้ หมอเองเข้าอีกที่ก็ที่บำรุงราษฎร์แต่เข้าวันอาทิตย์บ่ายวันเดียว พวกเราเลือกที่เซ็นต์หลุยส์ หมอรีบโทรจองห้องผ่าตัดให้เลย และเขียนจดหมายส่งตัวแม่ให้ทันที นัดผ่าเสาร์ที่ 16 สิงหาคม ก่อนวันเกิดหนึม 1 วัน แต่ให้เข้าไปเตรียมตัวตั้งแต่วันศุกร์ที่ 15 สิงหาคม 2551
หลังจากนั้น แม่เอาของขวัญวันเกิดใส่กระเป๋าเดินทางแบบเป้สีแดงดำ มอบให้หนึม จะให้หนึมเปิดของขวัญวันเกิดเดี๋ยวนี้เลย หนึมรู้ดีว่าแม่กังวลว่าอาจจะไม่ได้อยู่ถึงวันเกิดหนึมหากการผ่าตัดไม่ประสบผลสำเร็จ หนึมบอกแม่ว่า แม่จะออกจากห้องผ่าตัดมาดูหนึมเปิดของขวัญด้วยกัน หนึมจะเอาของที่แม่ให้ไปเปิดในวันเกิดที่โรงพยาบาล
กลางคืนก่อนนอน แม่จับมือหนึม และบอกว่า “จำไว้นะลูกว่าแม่รักลูก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นลูกต้องเข้มแข็งและอยู่ได้นะ” หนึมตอบแม่ว่าแม่ไม่ต้องห่วงอะไรเลย หนึมรักแม่ที่สุดในชีวิต และดีใจที่ได้เกิดเป็นลูกของแม่ และพวกเราทุกคนจะเป็นกำลังใจให้แม่รักษาตัวให้หายดี
เปลือกนอก หรือ เนื้อใน
การได้ใช้ชีวิตในวัยที่กำลังค้นหา และพัฒนาทัศนคติต่อโลกเป็นของตนเองในประเทศอังกฤษของหนึม ถือเป็นประโยชน์อย่างมาก หนึมใช้เวลาช่วงปิดเทอมทั้งปิดเทอมเล็กและปิดเทอมใหญ่ที่สหราชอาณาจักร ในส่วนของประเทศอังกฤษ ตั้งแต่อายุ 14 ปี และไปเรียนต่อที่นั่นเมื่อายุ 17 ปี จนถึงอายุ 24 ปี
การได้มองเห็นสิ่งแวดล้อมอีกแบบ ทำให้เกิดข้อสงสัยที่สืบสาวไปถึงเรื่องแนวคิดของผู้คนต่อ และการได้ยินคำถามจากคนเหล่านั้น ถึงสิ่งแวดล้อมแบบไทยๆของเรา ทำให้หนึมได้มีโอกาสมองย้อนกลับมาสู่สังคมเดิมของตนเอง และตั้งข้อสงสัยใหม่ๆไปด้วย
วันนี้จะว่าด้วยเรื่องเปลือกนอกและเนื้อใน
อังกฤษในยุคปี ปลายๆ 80 ต้นๆ 90 นั้น เป็นสังคมที่มีผู้คนหลายเชื้อชาติ ส่วนใหญ่มาจากประเทศอาณานิคมอันกว้างใหญ่ของสหราชอาณาจักรนั่นเอง เช่น อินเดิย ปากีสถาน ฮ่องกง และ ประเทศในอัฟริกา คนเหล่านี้อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข แม้จะไม่ได้กลมกลืนกันเสียเลยทีเดียว (ชนกลุ่มน้อยเหล่านี้มักจะอยู่อาศัยในย่านเดียวกันเป็นกลุ่มๆไป เหมือนในหลายๆประเทศ)
อังกฤษเป็นต้นกำเนิดวัฒนธรรมพังค์ เราจะเห็นผู้คนเดินไปมาในทรงผมแปลกๆ โมฮ็อค สีสันแปลกๆอย่างแดง เขียว (คนยุคนั้นยังไม่ย้อมผมเพื่อแฟชั่น ส่วนใหญ่สีที่ย้อมก็คล้ายคลึงสีผมธรรมชาติ) การแต่งกายในเสื้อผ้าแบบแปลกๆ รุ่งริงรุงรัง หมุดหรือห่วงต่างๆบนใบหน้าร่างกาย การแต่งหน้า ทาปาก ทาเล็บด้วยสีดำสไตล์ก็อตทติค เป็นสิ่งที่พบเห็นเป็นเรื่องปกติ และผู้คนเคารพในความเป็นตัวตนของกันและกัน
การประท้วงเรื่องการใช้หนังและขนสัตว์มาเป็นเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับของมนุษย์มีอยู่บ่อยๆ ผู้ประท้วงจะมีแผ่นโปสเตอร์แสดงภาพการทารุณกรรมสัตว์เพื่อให้ได้มาซึ่งเครื่องนุ่งห่มและเครื่องประดับ แต่ไม่มีการชี้หน้าด่าว่าผู้คนที่เดินผ่านไปมาที่อาจจะยังคงใช้หนังและขนสัตว์กันอยู่บ้าง
คนอังกฤษบางส่วนรับประทานเจ มีร้านอาหารเจ แต่ไม่มีใครออกมาตราหน้าผู้คนที่ยังรับประทานเนื้อสัตว์ มีแต่การให้ข้อมูลเชิงบวกของการรับประทานเจ
การเคารพสิทธิส่วนบุคคลของกันและกัน (ขอเน้นว่าของกันและกัน ไม่ใช่เคารพเฉพาะสิทธิส่วนบุคคลของคนใดคนหนึ่ง แต่ละเมิดสิทธิของคนอื่น) เป็นเรื่องปกติ ในโรงพยาบาลแผนกที่รักษาเรื่องของสตรีบางโรงพยาบาล จะเรียกผู้ป่วยด้วยหมายเลขเท่านั้น ไม่แม้แต่จะเอ่ยชื่อผู้ป่วยออกมาให้รับรู้กันไปทั่ว
มหาวิทยาลัยที่หนึมเข้าไปศึกษา ตามรอยพี่นุ่ม มีการเปลี่ยนชื่อสถาบันและให้นักศึกษาและบุคลากรเลือกชื่อใหม่ อาจารย์ที่สอนส่วนใหญ่ยังคงเป็นคนผิวขาว หลากหลายวัย มีอาจารย์ที่มาสอนในเนคไท โบว์ไท ไปจนชุดเดินป่า และชุดหนังขี่มอเตอร์ไซค์ (อังกฤษหนาวและมีฝนตกอยู่แทบทั้งปี ผู้คนไม่ค่อยใช้มอเตอร์ไซค์ คนที่ใช้ก็จะใส่ชุดหนังแนบตัวและรองเท้าบูทหนังยาวถึงหน้าแข้งกันลมให้อบอุ่น) อาจารย์บางคนก็มาสไตล์พังค์ บางคนสไตล์นักวิชาการ บางคนสไตล์แม่บ้าน มหาวิทยาลัยนี้มีเครื่องคอมพิวเตอร์แมคอินทอชให้นักศึกษาใช้เป็นร้อยๆตัวในห้องสมุด และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของสหราชอาณาจักรในด้าน computer graphic และ การท่องเที่ยว
ที่นี่มีผู้คนเรียนจากทั่วประเทศและจากอีกหลายประเทศ (แม้ในยุคนั้นนักเรียนต่างชาติจะไม่มากเท่าปัจจุบัน) มีผู้เรียนที่พิการทั้งแบบแค่เดินขโยกเขยก นั่งรถเข็นไฟฟ้า และแบบที่ใช้ทั้งขาและมือเทียม และ มีนักเรียนหลากหลายฐานะ และหลากหลายอายุ เราจะเห็นคนในวัย 40 – 50 ปี เรียนร่วมกับคนที่เพิ่งจบมัธยมศึกษามาเป็นเรื่องปกติ และได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในห้องเรียนกัน
ตั้งแต่ยุคนั้นแล้วที่พวกเราต้องเข้าไปยืมหนังสือจากห้องสมุดอ่านล่วงหน้าก่อนเข้าเรียน (หนังสือแพงมาก นักศึกษาส่วนใหญ่ยืมห้องสมุด หรือซื้อหนังสือต่อจากรุ่นพี่) บางวิชาอาจารย์จะมีข้อมูลในแผ่น disc (สมัยนั้นเราใช้ floppy disc) ไว้ที่ห้องสมุดให้นักศึกษาไปยืมและ print อ่านก่อนเข้าเรียน หรือ print โจทย์ของ assignment ต่างๆเพื่อไปทำส่ง การเรียนส่วนใหญ่คือการอ่านแล้วมาถกเถียงแสดงความเห็นหรือทดสอบสมมุติฐานในห้องเรียนที่มีอาจารย์เป็นผู้นำการถกเถียง
มีบ้างที่เราต้องทำสำเนาจากหนังสือในห้องสมุด เราสามารถทำการสำเนาหนังสือในเครื่องสำเนาในห้องสมุดโดย scan barcode ของหนังสือเล่มนั้นก่อน เพื่อทางมหาวิทยาลัยจะไปจ่ายค่าลิขสิทธิ์กับเจ้าของลิขสิทธิ์หนังสือเรียนเหล่านั้น
การใช้ชีวิตจึงเป็นการรู้หน้าที่และความรับผิดชอบของตนเอง และเคารพตนเองและเคารพผู้อื่น และการมองทะลุเปลือกนอกที่เห็นด้วยตา ให้เข้าไปถึงสิ่งที่เป็นแก่นสาร
หมายเหตุ ที่เขียนเรื่องนี้เพราะตั้งแต่กลับมาอยู่เมืองไทยได้ 10 กว่าปีแล้ว หนึมได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เห็นได้ชัดว่าเปลือกนอกเป็นสิ่งสำคัญมากกว่าหรือเป็นสิ่งเดียวที่สำคัญ และการบกพร่องในเปลือกนอกที่ตัดสินโดยผู้คนต่างมุมมอง ถือเป็นเรื่องใหญ่และบดบังความสำคัญและการเข้าถึงเนื้อในโดยสิ้นเชิง
การได้มองเห็นสิ่งแวดล้อมอีกแบบ ทำให้เกิดข้อสงสัยที่สืบสาวไปถึงเรื่องแนวคิดของผู้คนต่อ และการได้ยินคำถามจากคนเหล่านั้น ถึงสิ่งแวดล้อมแบบไทยๆของเรา ทำให้หนึมได้มีโอกาสมองย้อนกลับมาสู่สังคมเดิมของตนเอง และตั้งข้อสงสัยใหม่ๆไปด้วย
วันนี้จะว่าด้วยเรื่องเปลือกนอกและเนื้อใน
อังกฤษในยุคปี ปลายๆ 80 ต้นๆ 90 นั้น เป็นสังคมที่มีผู้คนหลายเชื้อชาติ ส่วนใหญ่มาจากประเทศอาณานิคมอันกว้างใหญ่ของสหราชอาณาจักรนั่นเอง เช่น อินเดิย ปากีสถาน ฮ่องกง และ ประเทศในอัฟริกา คนเหล่านี้อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข แม้จะไม่ได้กลมกลืนกันเสียเลยทีเดียว (ชนกลุ่มน้อยเหล่านี้มักจะอยู่อาศัยในย่านเดียวกันเป็นกลุ่มๆไป เหมือนในหลายๆประเทศ)
อังกฤษเป็นต้นกำเนิดวัฒนธรรมพังค์ เราจะเห็นผู้คนเดินไปมาในทรงผมแปลกๆ โมฮ็อค สีสันแปลกๆอย่างแดง เขียว (คนยุคนั้นยังไม่ย้อมผมเพื่อแฟชั่น ส่วนใหญ่สีที่ย้อมก็คล้ายคลึงสีผมธรรมชาติ) การแต่งกายในเสื้อผ้าแบบแปลกๆ รุ่งริงรุงรัง หมุดหรือห่วงต่างๆบนใบหน้าร่างกาย การแต่งหน้า ทาปาก ทาเล็บด้วยสีดำสไตล์ก็อตทติค เป็นสิ่งที่พบเห็นเป็นเรื่องปกติ และผู้คนเคารพในความเป็นตัวตนของกันและกัน
การประท้วงเรื่องการใช้หนังและขนสัตว์มาเป็นเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับของมนุษย์มีอยู่บ่อยๆ ผู้ประท้วงจะมีแผ่นโปสเตอร์แสดงภาพการทารุณกรรมสัตว์เพื่อให้ได้มาซึ่งเครื่องนุ่งห่มและเครื่องประดับ แต่ไม่มีการชี้หน้าด่าว่าผู้คนที่เดินผ่านไปมาที่อาจจะยังคงใช้หนังและขนสัตว์กันอยู่บ้าง
คนอังกฤษบางส่วนรับประทานเจ มีร้านอาหารเจ แต่ไม่มีใครออกมาตราหน้าผู้คนที่ยังรับประทานเนื้อสัตว์ มีแต่การให้ข้อมูลเชิงบวกของการรับประทานเจ
การเคารพสิทธิส่วนบุคคลของกันและกัน (ขอเน้นว่าของกันและกัน ไม่ใช่เคารพเฉพาะสิทธิส่วนบุคคลของคนใดคนหนึ่ง แต่ละเมิดสิทธิของคนอื่น) เป็นเรื่องปกติ ในโรงพยาบาลแผนกที่รักษาเรื่องของสตรีบางโรงพยาบาล จะเรียกผู้ป่วยด้วยหมายเลขเท่านั้น ไม่แม้แต่จะเอ่ยชื่อผู้ป่วยออกมาให้รับรู้กันไปทั่ว
มหาวิทยาลัยที่หนึมเข้าไปศึกษา ตามรอยพี่นุ่ม มีการเปลี่ยนชื่อสถาบันและให้นักศึกษาและบุคลากรเลือกชื่อใหม่ อาจารย์ที่สอนส่วนใหญ่ยังคงเป็นคนผิวขาว หลากหลายวัย มีอาจารย์ที่มาสอนในเนคไท โบว์ไท ไปจนชุดเดินป่า และชุดหนังขี่มอเตอร์ไซค์ (อังกฤษหนาวและมีฝนตกอยู่แทบทั้งปี ผู้คนไม่ค่อยใช้มอเตอร์ไซค์ คนที่ใช้ก็จะใส่ชุดหนังแนบตัวและรองเท้าบูทหนังยาวถึงหน้าแข้งกันลมให้อบอุ่น) อาจารย์บางคนก็มาสไตล์พังค์ บางคนสไตล์นักวิชาการ บางคนสไตล์แม่บ้าน มหาวิทยาลัยนี้มีเครื่องคอมพิวเตอร์แมคอินทอชให้นักศึกษาใช้เป็นร้อยๆตัวในห้องสมุด และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของสหราชอาณาจักรในด้าน computer graphic และ การท่องเที่ยว
ที่นี่มีผู้คนเรียนจากทั่วประเทศและจากอีกหลายประเทศ (แม้ในยุคนั้นนักเรียนต่างชาติจะไม่มากเท่าปัจจุบัน) มีผู้เรียนที่พิการทั้งแบบแค่เดินขโยกเขยก นั่งรถเข็นไฟฟ้า และแบบที่ใช้ทั้งขาและมือเทียม และ มีนักเรียนหลากหลายฐานะ และหลากหลายอายุ เราจะเห็นคนในวัย 40 – 50 ปี เรียนร่วมกับคนที่เพิ่งจบมัธยมศึกษามาเป็นเรื่องปกติ และได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในห้องเรียนกัน
ตั้งแต่ยุคนั้นแล้วที่พวกเราต้องเข้าไปยืมหนังสือจากห้องสมุดอ่านล่วงหน้าก่อนเข้าเรียน (หนังสือแพงมาก นักศึกษาส่วนใหญ่ยืมห้องสมุด หรือซื้อหนังสือต่อจากรุ่นพี่) บางวิชาอาจารย์จะมีข้อมูลในแผ่น disc (สมัยนั้นเราใช้ floppy disc) ไว้ที่ห้องสมุดให้นักศึกษาไปยืมและ print อ่านก่อนเข้าเรียน หรือ print โจทย์ของ assignment ต่างๆเพื่อไปทำส่ง การเรียนส่วนใหญ่คือการอ่านแล้วมาถกเถียงแสดงความเห็นหรือทดสอบสมมุติฐานในห้องเรียนที่มีอาจารย์เป็นผู้นำการถกเถียง
มีบ้างที่เราต้องทำสำเนาจากหนังสือในห้องสมุด เราสามารถทำการสำเนาหนังสือในเครื่องสำเนาในห้องสมุดโดย scan barcode ของหนังสือเล่มนั้นก่อน เพื่อทางมหาวิทยาลัยจะไปจ่ายค่าลิขสิทธิ์กับเจ้าของลิขสิทธิ์หนังสือเรียนเหล่านั้น
การใช้ชีวิตจึงเป็นการรู้หน้าที่และความรับผิดชอบของตนเอง และเคารพตนเองและเคารพผู้อื่น และการมองทะลุเปลือกนอกที่เห็นด้วยตา ให้เข้าไปถึงสิ่งที่เป็นแก่นสาร
หมายเหตุ ที่เขียนเรื่องนี้เพราะตั้งแต่กลับมาอยู่เมืองไทยได้ 10 กว่าปีแล้ว หนึมได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เห็นได้ชัดว่าเปลือกนอกเป็นสิ่งสำคัญมากกว่าหรือเป็นสิ่งเดียวที่สำคัญ และการบกพร่องในเปลือกนอกที่ตัดสินโดยผู้คนต่างมุมมอง ถือเป็นเรื่องใหญ่และบดบังความสำคัญและการเข้าถึงเนื้อในโดยสิ้นเชิง
วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2552
หนังสืองานศพ
หนึมชอบอ่านหนังสือที่ระลึกงานศพ ทั้งที่เป็นผู้มีชื่อเสียงหรือไม่ก็ตาม ที่ระลึกเหล่านี้มักมีเรื่องราวที่จะไม่ปรากฏในที่อื่น และมีเรื่องราวน่าสนใจมากมาย ทั้งในด้านสังคม และความรู้ด้านต่างๆ
หนังสือที่ระลึกงานศพที่หนึมประทับใจมากและเป็นเล่มแรกที่ได้อ่านในชีวิตคือหนังสืองานศพของพ่อนั่นเอง ด้วยความที่พ่อเสียตั้งแต่หนึมอายุแค่ 7 เดือน หนึมจึงได้รู้จักพ่อจากหนังสือเล่มนี้เอง จากคำบอกเล่าของญาติๆ เพื่อนของพ่อ และของแม่ และความที่พ่อเป็นนักเขียนด้วย หนึมก็ได้รู้จักชีวิตของพ่อจากเรื่องสั้นของพ่อที่แม่ได้รวบรวมไว้ในหนังสืองานศพนี่เอง
อีกเล่มที่หนึมอ่านรวดเดียวจบคือหนังสืองานศพศาสตราจารย์ นายแพทย์ สุด แสงวิเชียร หนึ่งในคณะกรรมการฝ่ายแพทย์ ผู้ชันสูตรพระบรมศพรัชกาลที่ 8 และเป็นผู้เขียนบันทึก เรื่อง "เมื่อข้าพเจ้าเข้าไปเกี่ยวข้องกับกรณีสวรรคต"
หลายๆเหตุการณ์ในอดีต ถูกมอง ตีความ และวิพากย์วิจารณ์ จากคนในยุคปัจจุบัน ด้วยรูปแบบการดำเนินชีวิต คุณค่าทางสังคมที่เปลี่ยนไปแล้ว การตีความจึงผิดเพี้ยนไปจากความจริง และบางครั้งก็เกิดความไม่เป็นธรรมแก่ผู้คนในอดีตอยู่มาก หนึมเห็นว่า การมองเหตุการณ์และผู้คนในอดีตอย่างที่เป็นจริง ก็ควรจะต้องทำความเข้าใจชีวิตความเป็นอยู่ และคุณค่าของคนในยุคนั้นๆเสียก่อน ก่อนที่คนอย่างเราๆจะเริ่มตีความและวิพากย์วิจารณ์ ยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการวิพากย์วิจารณ์องค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ที่คนในยุค 2500 กว่าปีล่วงมา ที่ไม่ได้คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมและสังคมในยุคของพระองค์ท่าน ตีความและวิพากย์วิจารณ์ต่างๆกันไป
หนึมเพิ่งได้มีโอกาสมีส่วนร่วมในการจัดทำหนังสือที่ระลึกงานศพเป็นครั้งแรก ให้กับกัปตันชาติชาย ปั้นสุวรรณ หรือพี่เปิ้ลของน้องๆที่บริษัท Bangkok Airways เมื่อทราบถึงการเสียสละชีวิตเพื่อให้ลูกเรือและผู้โดยสารเที่ยวบิน PG 266 กระบี่-สมุย รอดปลอดภัยเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2552 ที่ผ่านมา ก็ยิ่งรู้สึกเต็มใจในการทำหนังสือเล่มนี้ให้ออกมาทันงานพระราชทานเพลิงศพในวันที่ 10 สิงหาคม 2552 แม้จะมีอุปสรรคอยู่มาก (ส่วนใหญ่เป็นอุปสรรคว่าด้วยปากของคน)
เสียดายด้วยข้อจำกัดทั้งปวง หนังสือเล่มนี้จึงไม่ได้สื่อถึงความเป็นตัวตนของพี่เปิ้ลให้คนรุ่นหลังได้รู้จัก และเรียนรู้ ชีวิตที่มีแต่ผู้คนเคารพรัก และชีวิตที่เห็นแก่ผู้อื่นเหนือชีวิตตนไม่ได้ถูกบันทึกไว้ หนึมได้แต่เลือกพระนิพนธ์ของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก องค์ที่ ๑๙ เรื่องวิธีสร้างบุญบารมี มาเป็นหนังสือที่ระลึกให้กับพี่เปิ้ล ด้วยความร่วมมือในการเรียบเรียงคำอาลัย ตกแต่ง และ ประสานงาน ของน้องออ ตูน เกด อ้น(แนน) และอัต เป็นสิ่งสุดท้ายที่เราทำอย่างเต็มความสามารถ ให้กับสภาพบุรุษที่พวกเราได้มีโอกาสรู้จักน้อยนัก
หนังสือที่ระลึกงานศพที่หนึมประทับใจมากและเป็นเล่มแรกที่ได้อ่านในชีวิตคือหนังสืองานศพของพ่อนั่นเอง ด้วยความที่พ่อเสียตั้งแต่หนึมอายุแค่ 7 เดือน หนึมจึงได้รู้จักพ่อจากหนังสือเล่มนี้เอง จากคำบอกเล่าของญาติๆ เพื่อนของพ่อ และของแม่ และความที่พ่อเป็นนักเขียนด้วย หนึมก็ได้รู้จักชีวิตของพ่อจากเรื่องสั้นของพ่อที่แม่ได้รวบรวมไว้ในหนังสืองานศพนี่เอง
อีกเล่มที่หนึมอ่านรวดเดียวจบคือหนังสืองานศพศาสตราจารย์ นายแพทย์ สุด แสงวิเชียร หนึ่งในคณะกรรมการฝ่ายแพทย์ ผู้ชันสูตรพระบรมศพรัชกาลที่ 8 และเป็นผู้เขียนบันทึก เรื่อง "เมื่อข้าพเจ้าเข้าไปเกี่ยวข้องกับกรณีสวรรคต"
หลายๆเหตุการณ์ในอดีต ถูกมอง ตีความ และวิพากย์วิจารณ์ จากคนในยุคปัจจุบัน ด้วยรูปแบบการดำเนินชีวิต คุณค่าทางสังคมที่เปลี่ยนไปแล้ว การตีความจึงผิดเพี้ยนไปจากความจริง และบางครั้งก็เกิดความไม่เป็นธรรมแก่ผู้คนในอดีตอยู่มาก หนึมเห็นว่า การมองเหตุการณ์และผู้คนในอดีตอย่างที่เป็นจริง ก็ควรจะต้องทำความเข้าใจชีวิตความเป็นอยู่ และคุณค่าของคนในยุคนั้นๆเสียก่อน ก่อนที่คนอย่างเราๆจะเริ่มตีความและวิพากย์วิจารณ์ ยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการวิพากย์วิจารณ์องค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ที่คนในยุค 2500 กว่าปีล่วงมา ที่ไม่ได้คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมและสังคมในยุคของพระองค์ท่าน ตีความและวิพากย์วิจารณ์ต่างๆกันไป
หนึมเพิ่งได้มีโอกาสมีส่วนร่วมในการจัดทำหนังสือที่ระลึกงานศพเป็นครั้งแรก ให้กับกัปตันชาติชาย ปั้นสุวรรณ หรือพี่เปิ้ลของน้องๆที่บริษัท Bangkok Airways เมื่อทราบถึงการเสียสละชีวิตเพื่อให้ลูกเรือและผู้โดยสารเที่ยวบิน PG 266 กระบี่-สมุย รอดปลอดภัยเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2552 ที่ผ่านมา ก็ยิ่งรู้สึกเต็มใจในการทำหนังสือเล่มนี้ให้ออกมาทันงานพระราชทานเพลิงศพในวันที่ 10 สิงหาคม 2552 แม้จะมีอุปสรรคอยู่มาก (ส่วนใหญ่เป็นอุปสรรคว่าด้วยปากของคน)
เสียดายด้วยข้อจำกัดทั้งปวง หนังสือเล่มนี้จึงไม่ได้สื่อถึงความเป็นตัวตนของพี่เปิ้ลให้คนรุ่นหลังได้รู้จัก และเรียนรู้ ชีวิตที่มีแต่ผู้คนเคารพรัก และชีวิตที่เห็นแก่ผู้อื่นเหนือชีวิตตนไม่ได้ถูกบันทึกไว้ หนึมได้แต่เลือกพระนิพนธ์ของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก องค์ที่ ๑๙ เรื่องวิธีสร้างบุญบารมี มาเป็นหนังสือที่ระลึกให้กับพี่เปิ้ล ด้วยความร่วมมือในการเรียบเรียงคำอาลัย ตกแต่ง และ ประสานงาน ของน้องออ ตูน เกด อ้น(แนน) และอัต เป็นสิ่งสุดท้ายที่เราทำอย่างเต็มความสามารถ ให้กับสภาพบุรุษที่พวกเราได้มีโอกาสรู้จักน้อยนัก
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)