วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ใครว่าชีวิตเป็นของเรา

ถ้าชีวิตหมายถึงการมีร่างกายนี้ให้เราใช้ทำอะไรๆไปไหนมาไหน ก็เห็นได้ชัดๆว่าชีวิตนี้ไม่ใช่ของเราเอาเสียเลย

เริ่มตั้งแต่ที่มาของชีวิตนี้ เราก็ไม่ได้หามาเอง แต่ต้องอาศัยคน 2 คนทำให้เราได้เกิดมามีชีวิต ถ้าเรามีที่มาแบบที่ไม่เป็นธรรมชาตินัก เราก็ยิ่งต้องพึ่งพาคนอีกหลายคนเพื่อก่อเกิดเป็นชีวิตขึ้นมาได้ เกิดมาแล้วก็ต้องอาศัยใครต่อใครให้อาหาร ทำความสะอาด ปกป้องภัยอันตราย ให้ความอบอุ่น เวลาเราจะตายยิ่งเป็นเวลาที่บ่งให้เห็นว่าชีวิตนี้ไม่ใช่ของเรา อาศัยคนผลิตยา อาศัยหมอ อาศัยพยาบาล จะยื้อไว้เท่าไรก็ไม่ได้ ตายไปแล้วสิ่งที่เราเรียกว่าชีวิตของเรานี้ยังต้องทิ้งไว้ให้คนอื่นเผาให้

แต่ระหว่างเกิดกับตายนี้ เราสร้างความคุ้นเคยและกลายเป็นยึดติดกับความเป็นตัวเรา จนเราทำอะไรๆเองได้ หาเลี้ยงชีพเองได้ ความเป็นเราก็ตะเบ็งเซ็งแซ่จนเราคิดไปว่าชีวิตนี้เป็นของเรา

เมื่อทราบข่าวเมื่อตอนเย็นว่าคุณลุง พี่คนเดียวของคุณแม่ป่วยเข้าห้อง icu หนึมก็ติดตามแม่ไปเยี่ยมคุณลุงที่โรงพยาบาลทันที หนึมคุ้นเคยกับห้อง icu เพราะ แม่ พี่นั่ม และตัวหนึมเองเคยป่วยต้องพักในห้อง ICU กันมาแล้ว มันเป็นห้องที่หดหู่ และเดียวดายเหลือเกิน

ผู้ป่วยในห้องดูอาการหนักๆกันทั้งนั้น มีสายระโยงระยางและอยู่ในสภาพที่ดูแลตัวเองไม่ได้อย่างเห็นได้ชัด คุณลุงมีสายระโยงระยางเข้าทั้งทางปากและจมูก แม่ค่อยๆจับแขนและบอกว่า กระเจี๊ยบ น้องสาวของคุณลุงมาเยี่ยมแล้ว คุณลุงพยักหน้าทั้งที่ไม่ลืมตา ปากอ้าค้างด้วยมีท่อค้างคาไว้ คุณลุงได้ยินและเข้าใจทุกอย่างได้ดี คงคล้ายๆผู้หญิงตียงข้างๆที่นอนสงบนิ่งขณะที่พยาบาลที่เข้ามารุมล้อมดูแลเธอพากันพูดคุยเหมือนไม่มีตัวเธออยู่ตรงนั้น

เมื่อครั้งที่หนึมป่วยฉุกเฉินและเป็นลมไปคาห้องตรวจที่โรงพยาบาล เมื่อรู้ตัวว่ากำลังจะเป็นลมหนึมพยายามพูดบอกหมอและแม่ แต่ก็หมดแรงเสียงหายขณะที่คอก็พับลงและตาก็ปิดลงไปในที่สุด หนึมไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรเลย แต่หนึมยังคงได้ยิน ได้ยินและรับรู้ทุกอย่าง ได้ยินเสียงหมอที่เรียกชื่อหนึมอยู่ตลอดเวลา เหมือนจะปลุกให้รู้สึกตัว ได้ยินเสียงเรียกให้พยาบาลและพี่นั่มเข้ามาอุ้มหนึมจากรถเข็นขึ้นบนเตียง ได้ยินเสียงแม่ร้องไห้เรียกหนึม

หนึมเคยรับรู้มาว่าคนกำลังจะตายนั้น จะค่อยๆสูญเสียการรับรู้ไปจนเหลือสิ่งสุดท้ายคือการได้ยิน จากประสบการณ์ยามเจ็บป่วยของตัวเองหนึมก็เชื่อเช่นนั้น

การดูแลผู้ป่วยที่เราคิดว่ากลายเป็นผักเป็นปลาไม่ลืมตา ไม่พูดจา ไม่ขยับเขยื้อน เราจึงต้องระลึกเสมอว่าผู้ป่วยของเราอาจจะได้ยินและรับรู้ รู้สึกนึกคิดได้อยู่ จะทรมาณแค่ไหนถ้าต้องได้ยินอะไรๆที่ไม่อยากได้ยินแต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะชีวิตนี้กำลังค่อยๆแสดงความไม่เป็นของเราเสียแล้ว

จะดีแค่ไหนถ้าเราจะช่วยให้คนที่กำลังสูญเสียความเป็นตัวเขา ชีวิตของเขา ชีวิตที่เขาใช้งานยึดติดมาหลายสิบปี ให้เขาได้ละวางชีวิตนั้น อย่างสงบสบาย ด้วยคำพูดคำจาของเรา ที่สงบและสำรวม

สุดท้ายแล้ว เราแต่ละคนก็ต้องละซึ่งชีวิตนี้ของเรากันสักวัน ทุกคน