ดูจิตในงานบุญ
หนังสือที่พระอาจารย์จงกลแห่งวัดป่าแก้วแจกมาเมื่อวันสุดท้ายของการปฏิบัตธรรมแบบ 3 วันชื่อ “ธรรมกับการปฏิบัติธรรม” มีท่อนหนึ่งในหน้า 13 ที่ถูกใจหนึม และขออนุญาตนำมาเล่าสู่กันฟังดังนี้
“ดังเช่น นักมวยที่ฝึกซ้อมกระสอบทรายจนชำนาญ มันเป็นการชกฝ่ายเดียวโดยไม่มีการต่อสู้ของฝ่ายตรงข้าม ยังไม่เจอของจริง ผลนั้นจึงดูเหมือนเป็นผู้ชนะอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับการนั่งหลับตาทำสมาธิ พอจิตสงบก็ลืมทุกขืไปชั่วขณะหนึ่ง มันเป็นการลืมทุกข์หรือศิลาทับหญ้า ยังมิใช่การดับทุกขืที่แท้จริง เพราะพออกจากสมาธิ เจอผัสสะก็เกิดทุกข์ได้อีก ของจริงต้องดับกันตรงผัสสะข้างนอก ทันทีที่กระทบก็จบลงแค่นั้น ทุกข์จะไม่สามารถเข้าถึงใจได้เลยจึงจะใช่
ดังนั้นผลแท้ๆ จะพิสูจน์ได้ต่อเมื่อเจอผัสสะขณะลืมตาคือการอยู่กับชีวิตจริงๆ หรือการขึ้นชกบนเวทีชีวิตอีกที จะต้องพบคู่ต่อสู้ทั้งนอกใน ในลีลาต่างๆ ที่โต้ตอบมาให้ได้ทันจริงๆ การชกในที่นี้มิใช่หมายถึงการต่อสู้ชกตีทางกายภายนอกกับใคร แต่หมายถึงสติปัญญาที่ต่อสู้ห้ำหั่นกับกิเลส คือ เหตุเกิดแห่งทุกข์ที่เกิดขึ้นภายในจิตของตนเท่านั้น”
เมื่อวานที่หนึมได้ไปร่วมเป็นธรรมบริกรที่วัดมหาธาตุ เนื่องในวันทำบุญทักษินาณุปทานอุทิศถวายแด่ท่านเจ้าคุณโชดก (พระธรรมธีรราชมหามุณี) ตามคำชวนของพวงพัชรเพื่อนรักที่เป็นลูกศิษย์วัดนี้ หนึมจึงได้ใช้โอกาสนี้ดูจิตตนเองไปตลอดงาน ลองของจริงกันดู
ไม่บ่อยนักที่หนึมจะออกไปทำกิจกรรมกับคนแปลกหน้าหมู่มาก โดยไม่ได้มีการแจกงานอย่างเป็นกิจลักษณะ กลุ่มคนทำงานมีทั้งพระ แม่ชี ฆราวาสวัยลุงป้าน้าอาที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน หนึมชวนจิต เกด เก๋ และ ตูน น้องๆที่บริษัทไปด้วย เกดได้งานรับโทรศัพท์ ลงทะเบียน แจกโบว์และรับเงินทำบุญจากเจ้าภาพที่ทะยอยกันมา หนึม เก๋ ตูน และจิตเลยเข้าไปครัว ช่วยแกะถุงอาหาร จัดใส่จานชาม แบ่งกันไปล้างไปปอก หั่น จัดวางผลไม้ร่วมกับแม่ชีและลุงป้าน้าอามากมาย
หนึมตั้งใจตั้งแต่ออกจากวัดป่าแก้วมาว่าจะพยายามส่งจิตออกนอกให้น้อย จะดูกายดูจิตของเราให้มาก งานนี้ก็ตั้งใจว่าอย่างนั้น เลยไม่ค่อยได้มองหน้าใคร
หนึมได้เห็นหูวิ่งไปฟังเสียงคนขึ้นเสียง ขัดใจกันเป็นระยะๆ หนึมเห็นตัวเองฟังต่อว่าเสียงเหล่านี้ เป็นเรื่องไม่ค่อยเป็นเรื่องเอาเสียเลย และมีการใช้คำพูดเปลือง บ่นกระปอดกระแปด ซ้ำๆย้ำๆ พอให้อีกฝ่ายมีอารมณ์ และอีกฝ่ายก็รับลูก ถ้าไม่เอออวยไปด้วย ก็กระแทกกลับไปบ้าง หนึมสงสัยว่าลูกศิษย์ลูกหาเหล่านี้ปฏิบัติธรรมรูปแบบไหนกันหนอ แน่ะ หนึมแวบไปคิดอีกแล้ว
ตาของหนึมเห็นชิ้นผลไม้ที่ถูกส่งมาให้หนึมจัดเรียง มันดูยังไม่เสร็จดีนัก แอบคิดต่อไปว่าถ้าจัดเรียงไป คุณป้า QC (ใครสักคนแอบตั้งชื่อให้แก เพราะได้ยินเสียงแกตรวจงานด้วยวาจาที่ไม่สร้างสรรค์นักอยู่ตลอดเวลา) จะต้องบ่นอีกเป็นแน่ หนึมยื่นผลไม้ให้คนปอกหั่นข้างๆหนึม ให้เธอหั่นจุกผลไม้ออกให้หน่อย เธอคนนั้นยื่นมีดมาตัดผลไม้ชิ้นนั้นในมือหนึม ไม่แปลกที่งานออกมาแบบไม่เสร็จนัก เพราะตลอดเวลาเธอและเพื่อนใส่ใจกับการเม้ากระจายถึงบุคคลที่ไม่ได้อยู่ในที่นั้น มากกว่างานที่อยู่ในมือ หนึมแอบชำเลืองมองดูหน้าคนเหล่านี้เพื่อจะพบว่าเธอเป็นผู้ถือศีล 8 ในชุดขาว
หนึมสังเกตุใจตัวเอง ว่ารับรู้ และอยากพูดเล่าการรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้
วันนี้ทำให้หนึมเห็นความเคลื่อนไหวของใจตัวเอง และรู้สึกนับถือผู้ทรงศีล ในความพยายามต่อสู้กับกิเลสที่เย้ายวนใจมากมาย มากเสียจนเราเองแทบรับรู้ไม่ทันว่าโดนกิเลสกินเข้าไปเสียแล้ว มโนกรรมนั้นผุดขึ้นปรู๊ดปร๊าด และสามารถกลายเป็นวจีกรรมได้อย่างรวดเร็ว และถ้าไม่ระวังให้ดีจะขยายผลเป็นกายกรรมได้อีก แย่แน่ถ้าทั้งหมดเป็นอกุศลกรรม การมีสติตามดูตามรู้จึงสำคัญนักแล งานนี้นอกจากได้ทำเวยยาวัจมัยทานแล้วหนึมก็ได้ภาวนาไปด้วย เผื่ออ่านแล้วจะได้อนุโมทนากันนะคะ
วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
อ่านแล้วกินใจมากเลยพี่หนึม แบบว่าคนใส่ชุดขาว มาทำบุญ แต่ยังไม่ได้ดูจิตตัวเอง มาทำบุญ แต่ว่าไม่ได้ตั้งใจมา อืม กินใจๆ
ตอบลบ